วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

中央电视台2012年春节联欢晚会【1】开场歌舞《东西南北大拜年》






เมื่อคืนใครได้ count down ตามการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกของ CCTV บ้างครับ ถือเป็นคืนที่มีคนชมรายการมากที่สุดในโลก แค่คนจีน ก็เกือบค่อนโลกแล้วครับ อาตี๋คนนี้ดังไปทั่วโลกเลยครับ
เพิ่งจะกล่าวคำว่า "สวัสดีปีใหม่" แบบชาวไทยกันไปไม่นาน นี่ก็กำลังจะย่างเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน ซึ่งถือเป็นวันฉลองปีใหม่ของคนเชื้อสายจีนทั่วโลกกันอีกแล้ว เด็ก ๆ หลายคนคงรอคอยวันนี้ เพราะเป็นวันที่ญาติผู้ใหญ่จะให้ "อั่งเปา" หรือที่บางบ้านเรียกว่า "แต๊ะเอีย" อิอิ แต่ไหน ๆ จะให้ญาติผู้ใหญ่ประทับใจแล้ว ลองจดจำคำอวยพรภาษาจีน พร้อมความหมายดี ๆ ไปพูดให้ผู้ใหญ่ชื่นใจกันหน่อยดีไหมจ๊ะ

新正如意 新年发财 (ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ)... คิดหวังสิ่งใดขอให้สมหวังสมปรารถนาในปีใหม่นี้ มีแต่ความสุขมั่งคั่ง โชคดีร่ำรวยตลอดปี (ถ้าเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้)

新年快樂 (ซินเหนียนไคว้เล่อ) ... ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่

恭贺新年 (กงเฮ่อซินเหนียน) ... สุขสันต์วันปีใหม่

恭贺新禧 (กงเฮ่อซินสี่) ... สุขสันต์วันปีใหม่

ขอให้แฟนๆ healthstation ไม่ว่าจะจีนหรือไทย 龙马精神 (หลงหม่าจินเสิน) ... สุขภาพแข็งแรง 万事如意 (ว่านซื่อหรูอี้) … ทุกเรื่องสมปรารถนา 祝你顺利 (จู้หนี่ซุ่นลี่) ... ขอให้ประสบความสำเร็จ ครับผม.. ลองรับชมตี๋น้อย นาจา ขับร้องเพลงโบราณของจีน อวพพรวันปีใหม่ให้ทุกคน อาตี๋นี่ครบเครื่องมากครับ
— with นงนุช อินทรวิเศษ.

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

จีนเผยแท็บเล็ต'เรดแพด' แจกเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์!

  วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7732 ข่าวสดรายวัน


จีนเผยแท็บเล็ต'เรดแพด' แจกเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์!





เอเอฟพีรายงานว่า สมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะได้รับแจก 'เรดแพด' ซึ่งเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาแบบแท็บเล็ต ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับไอแพด ซึ่งก็คือผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่สามารถตอบสนองการใช้งานของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ได้อย่างครบถ้วน นอกจากนั้นยังบรรจุมาพร้อมกับซองหนังแท้อย่างดี ส่วนราคาขายของเรดแพดจะอยู่ที่ประมาณ 49,995 บาท หรือสูงเป็น 2 เท่าของราคาไอแพด 2 ขนาด 64 กิกะไบต์ ซึ่งเป็นรุ่นที่แพงที่สุด

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จีนที่ได้รับแจกยังสามารถใช้เรดแพดแทนบัตรประจำตัวได้ หรืออ่านข่าวสารต่างๆ และจัดการงานได้อย่างลงตัวมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันอย่างไอแพดของแอปเปิ้ล

ด้านนายหลิว เซียนรี โฆษกของเรดแพด กล่าวว่า ยอดขายของสินค้าตัวนี้ช่วยกระตุ้นตลาดสินค้าไฮเทคในประเทศได้เป็นอย่างดี กับคำถามที่ว่ามีการนำเงินกองทุนสาธารณะของรัฐไปใช้ในการซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์หรือไม่ เขาตอบว่า จีนต้องการสร้างกระแสในการแข่งขันกับแบรนด์จากต่างชาติ

เรดแพดมาพร้อมแอพพลิเคชั่นที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐอย่างครบถ้วน อาทิ แอพพลิเคชั่นที่ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนที่มีต่อรัฐบาล หรือการอ่านข่าวจากสื่อต่างๆ ของรัฐบาลและบริการไมโครบล็อก

ขณะที่
ผลสำรวจความคิดเห็นทางออนไลน์พบว่า ชาวเน็ตมากกว่า 2,000 คน เชื่อว่าเรดแพด คือสัญลักษณ์ของความมีอภิสิทธิ์ ขณะที่อีก 1,500 คนเชื่อว่า จุดประสงค์ของมันคือการขูดรีดประชาชนผู้จ่ายภาษี

หน้า 28

กสทช.ตั้งคณะอนุฯ เช็กกฎหมายดาวเทียมถี่ยิบ ก่อนมอบไลเซนส์

 

กสทช.ตั้งคณะอนุฯ เช็กกฎหมายดาวเทียมถี่ยิบ ก่อนมอบไลเซนส์

กสทช.ตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาข้อกฎหมายเกี่ยวกับกิจการดาวเทียม หวังตรวจสอบขั้นตอน กลั่นกรองการขอใบอนุญาตประกอบกิจการดาวเทียมในประเทศไทย...

นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.กล่าวว่า ขณะนี้ กสทช.ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในด้านเทคนิคเกี่ยวกับกิจการดาวเทียม ซึ่งหากผู้ประกอบการต้องการนำคลื่นความถี่จากดาวเทียมไปใช้ประโยชน์ในประเทศไทย จะต้องขออนุญาตกับทาง กสทช.ก่อน เพื่อเข้าสู่กระบวนการประมูล และออกใบอนุญาต หรือ ไลเซนส์ ให้ใช้คลื่นความถี่ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 ต่อไป เนื่องจากคลื่นความถี่จากดาวเทียมสื่อสารถือเป็นคลื่นความถี่อีกประเภทหนึ่ง ที่เป็นสาธารณประโยชน์ จึงต้องเปิดโอกาสให้มีการแข่งขัน

ทั้งนี้ กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียมนั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย การขอตำแหน่งวงโคจรจากทางไอทียู ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร หรือ ไอซีที จะเป็นผู้ดูแลในส่วนงานอำนวยการ โดย กสทช.จะเป็นผู้ดูแลในด้านการประสานงาน ขณะที่ขั้นตอนการหาดาวเทียมเพื่อมาประจำตำแหน่งในวงโคจรนั้น เป็นหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในการติดต่อหาดาวเทียมมาวาง ณ ตำแหน่งดังกล่าว และสุดท้ายคือ การขอใช้คลื่นความถี่ที่ส่งมาจากดาวเทียมเพื่อใช้ประโยชน์ เป็นหน้าที่ของ กสทช.ในการออกใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เหล่านั้นในประเทศไทย

กรรมการ กสทช.กล่าวต่อว่า รายได้จากการประมูลหลังหักค่าใช้จ่าย กสทช.จะนำส่งเข้ารัฐ เนื่องจากคลื่นความถี่ดาวเทียมสื่อสารจะมีลักษณะต่างจากคลื่นความถี่ประเภทอื่น อย่างคลื่นความถี่ของโทรศัพท์มือถือ คือ สามารถใช้พร้อมกันได้หลาย 100 ราย จึงไม่สามารถบังคับห้ามผู้ประกอบการรายอื่นในการใช้คลื่นความถี่ร่วมกันได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องทางเทคนิคที่ต้องนำมาพิจารณา ว่าจะออกแบบการประมูลคลื่นความถี่ดาวเทียมสาธารณะอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด ดังนั้น จึงต้องตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในด้านเทคนิคดังกล่าว.

โดย: ทีมข่าวไอทีออนไลน์

30 มกราคม 2555, 06:00 น.


วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

จับตา 30 มกราคม ศาลฎีกาฯตัดสินคดีรถดับเพลิง.. "โอกาสดีที่จะปฏิเสธการรัฐประหาร"


 

จับตา 30 มกราคม ศาลฎีกาฯตัดสินคดีรถดับเพลิง.. "โอกาสดีที่จะปฏิเสธการรัฐประหาร"

วันที่ 02 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 15:26:58 น.

Share




          
ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บรรณาธิการเว๊ปไซต์กฎหมายมหาชนยอดนิยมแห่งยุค www.pub-law.net  ได้เขียน บทบรรณาธิการ  สำหรับวันจันทร์ที่ 2 มกราคม ถึงวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2555  โดยใช้ชื่อเรื่องว่า

 


 "โอกาสดีที่จะปฏิเสธการรัฐประหาร"

 

 

มติชนออนไลน์ เห็นแง่มุมมองทางกฎหมายและประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ

 

จึงเชิญชวนท่านผู้อ่าน พิจารณาแง่มุมทางวิชาการต่อไปนี้


                  

....คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปี 2554 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเราตกอยู่ใน "ฐานะลำบาก"หลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม รวมไปถึงภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลกก็ "เลือก" ที่จะมาเกิดขึ้นที่ประเทศไทย ทำให้เราขาดโอกาสในการ "เดินไปข้างหน้า" อย่างมาก

 

 

ในรอบปีที่ผ่านมา การเมืองซึ่ง "แย่" มาตั้งแต่รัฐประหารปี พ.ศ. 2549 ก็ยังไม่ดีขึ้น แม้รัฐบาลประชาธิปัตย์จะ "ยุบสภา" แล้วเรามีการเลือกตั้งใหม่ ได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่ความวุ่นวายทางการเมืองก็ยังไม่จบสิ้นเสียที ยังคงวนเวียนอยู่กับปัญหาทักษิณ นิติรัฐ นิรโทษกรรม สองมาตรฐาน เลือกปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้เองที่แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 5 ปีแล้วก็ตาม การเมืองก็ยังไม่นิ่งอย่างที่ควรเป็น ประกอบกับรัฐบาลมีคน "คัดค้าน" อยู่มาก ไม่ว่าจะเสนออะไรหรือทำอะไร ทุกอย่างก็ดู "ผิดไปหมด" ภาวะต่าง ๆ ในบ้านเมืองเราจึงคงเป็นที่น่าวิตกอยู่เช่นเดิม
                  

 

ค่อนข้างแน่ว่า ปี พ.ศ. 2555 คงเป็นปีที่ยังคงวุ่นวายอยู่อย่างเดิม มี "ผู้รู้" หลายคนออกมาเขย่าขวัญพวกเราแล้วว่า น้ำจะท่วมหนักกว่าปีที่แล้ว มีคนหลายกลุ่มออกมาตั้งประเด็นว่าจะต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญกันแล้วทั้ง ๆ ที่ยังเป็นแค่ข่าว มีคนอีกจำนวนมากเรียกร้องให้พาคุณทักษิณฯ กลับประเทศโดยในขณะที่คนอีกจำนวนมากเช่นกันคัดค้านการที่จะปล่อยให้คุณทักษิณฯ เข้ามาประเทศไทยง่าย ๆ โดย "ไม่ติดคุก"  เพราะฉะนั้น ถ้ารัฐบาลขยับทำอะไรสักอย่าง ก็คงเป็นปัญหาไปหมด เป็นปัญหาที่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีที่มาจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้งสิ้น
                  

 

แม้จะมีเสียงสะท้อนจากประชาชนและนักวิชาการหลายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่เราก็คงทำอะไรไม่ได้เพราะการทำรัฐประหารในบ้านเราเป็นสิ่งที่ถือกันว่าและรับรู้กันว่า "ถูกต้อง" ทั้ง "รูปแบบ" และ "เนื้อหา" ซึ่งคงไม่สามารถนำมาอธิบายอย่างละเอียดไว้ในที่นี้ได้

 

 

แต่อย่างไรก็ดี ในเวลาไม่ใกล้ไม่ไกลนี้เองที่เราอาจมีโอกาสทำให้การรัฐประหารกลายเป็น "สิ่งที่ผิดได้" โดย "องค์กร" ที่เคยยอมรับว่าการรัฐประหารนั้นเป็น "สิ่งที่ถูก" เป็นผู้ลงมือทำให้การรัฐประหารเป็นสิ่งที่ผิดครับครับ
                  

 

ในบทบรรณาธิการครั้งนี้ ผมจะขอเขียนเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งซึ่งจริง ๆ แล้วควรจะเกิดขึ้นในวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมาแต่ก็ต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 30 มกราคม ที่จะถึงนี้เพราะติดปัญหา "น้ำท่วม" นั่นก็คือเรื่องการพิจารณาคดีรถและเรือดับเพลิงโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเรื่องนี้ผมมองว่าหากเป็นไปตาม "ข้อคิดเห็น" ที่ผม "ฝันถึง" โอกาสที่จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร "ในวันข้างหน้า" ก็จะหมดไปโดยไม่ต้องไปเขียนหรือไปทำอะไรเลย

 

เพราะนี่คือโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย หาก "ศาล" ยินยอมพร้อมใจที่จะ "ปฏิเสธ" การรัฐประหารครับ
                  

 

 

 

คงต้องมาเรียงลำดับความเป็นมาของคดีรถและเรือดับเพลิงกันอย่างสั้น ๆ ก่อน

 

เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่กรุงเทพมหานครซื้อยานพาหนะดับเพลิงและอุปกรณ์ในการบรรเทาสาธารณภัยจากบริษัทเอกชนที่มาจากประเทศออสเตรียในปี พ.ศ. 2546 และต่อมาได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้องเรียนไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งสำนวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2549 

 

 

จากนั้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศและได้มีการออกประกาศและคำสั่งจำนวนมากเพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการ "บริหารจัดการ" ประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว

 

 

คปค. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 9 คน และได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จำนวน 12 คนโดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินงานหรือโครงการที่ได้รับอนุมัติหรือเห็นชอบโดยบุคคลในคณะรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีซึ่งพ้นจากตำแหน่งโดยผลของการรัฐประหารที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นไปโดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ซึ่ง คตส. ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ คปค. ได้มีประกาศแต่งตั้ง

 

 

ดังนั้น คตส. จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีรถและเรือดับเพลิงดังกล่าว แต่ คตส. ก็ไม่สามารถสรุปสำนวนการสอบสวนคดีรถและเรือดับเพลิงให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดได้แม้ว่าจะได้รับการต่ออายุแล้วก็ตาม คตส. จึงได้ส่งมอบงานต่อให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งก็เป็นชุดเดิมที่แต่งตั้งโดย คปค. นั่นเอง
                  

 

ภายหลังจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับโอนสำนวนคดีรถและเรือดับเพลิงจาก คตส. มาแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้ส่งรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงถึงอัยการสูงสุดกล่าวหาบุคคลจำนวนหนึ่ง อัยการสูงสุดได้พิจารณารายงานดังกล่าวแล้วเห็นว่าไม่สมบูรณ์ จึงได้แจ้งข้อไม่สมบูรณ์ดังกล่าวไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายหลังจากที่อัยการสูงสุดและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาพยานหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์และรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ก็ปรากฏว่า คณะทำงานฝ่าย ป.ป.ช. กับคณะทำงานฝ่ายอัยการต่างก็ยังคงมีความเห็นไม่ตรงกันในการฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางคน

 

ในที่สุด คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้สภาทนายความเป็นผู้ทำหน้าที่ในการยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา
                  

 

นี่คือลำดับเหตุการณ์อย่างย่อ ๆ ของคดีรถและเรือดับเพลิงที่กำลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันที่ 30 มกราคม ที่จะถึงนี้ครับ
                  

 

จากข้อเท็จจริงที่กล่าวไปแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่า คณะรัฐประหารได้ใช้อำนาจของตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีรถและเรือดับเพลิงในหลายส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. และการแต่งตั้งคณะกรรมการ คตส. ซึ่งหากพิจารณาถึงการยอมรับการใช้อำนาจของคณะรัฐประหารซึ่งได้วางหลักไว้โดยศาลฎีกาในคำพิพากษาฎีกาที่ 1662/2505 ที่ว่า"ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติให้ทำการยึดอำนาจปกครองประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ หัวหน้าคณะปฏิวัติย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง ข้อความใดที่หัวหน้าคณะปฏิวัติสั่งบังคับประชาชน ก็ต้องถือว่าเป็นกฎหมาย แม้พระมหากษัตริย์จะมิได้ทรงตราออกมาด้วยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎรหรือสภานิติบัญญัติของประเทศก็ตาม

 

ฉะนั้น ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 ซึ่งประกาศคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติบังคับแก่ประชาชนดังกล่าว จึงเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในการปกครองในลักษณะเช่นนั้นได้ จำเลยจึงอาศัยอำนาจตามประกาศฉบับนี้ทำการจับกุมควบคุมโจทก์ได้โดยชอบ" ก็จะพบว่า คำพิพากษาดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นฐานในการใช้อำนาจของคณะรัฐประหารเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน แม้กระทั่งศาลฎีกาแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเองก็ได้ยืนยันหลักดังกล่าวไว้ในคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 ว่า คปค. มีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว
                  

 

อาจกล่าวได้ว่า การรัฐประหารถูกทำให้ "ชอบธรรม" โดยศาลฎีกาเป็นผู้ออกมาประทับตรารับรองก็ว่าได้ครับ !!!
                  

 

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่า "ศาลไทย" จะรับรองผลการรัฐประหารดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษาทุกคนจะมีความเห็นสอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว

 

 

ตัวอย่างที่สำคัญที่ผมได้เคยนำมาเขียนไว้ในบทบรรณาธิการครั้งที่ 226 "อย่างนี้ถึงจะเรียกตุลาการภิวัตน์ !!!" ก็คือ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2552 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาคดี อม.9/2552 ในคดีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ โดยศาลได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกนายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นเวลา 2 เดือน และปรับ 4 พันบาท แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่านายยงยุทธ ติยะไพรัช เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
                  

 

 เรื่องคงไม่มีอะไรมาก หากไม่มีผู้พิพากษาคนหนึ่งได้แสดงความเห็นของตนไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตัว โดย 1 ใน 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ นายกีรติ กาญจนรินทร์ ได้กล่าวไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตัวซึ่งผมขอคัดลอกมากล่าวซ้ำไว้ในที่นี้อีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
                  

 

"ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) คดีนี้หรือไม่ เห็นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ศาลเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชน ศาลจึงต้องใช้อำนาจดังกล่าวเพื่อประชาชนอย่างสร้างสรรค์ในการวินิจฉัยคดีเพื่อให้เกิดผลในทางที่ขยายขอบเขตการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และหากศาลไม่รับใช้ประชาชน ย่อมทำให้ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมถูกท้าทายและสั่นคลอน
                  

 

นอกจากนี้ศาลควรมีบทบาทในการพิทักษ์ความชอบด้วยกฎหมายรวมถึงพันธกรณีในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและพันธกรณีในการปกปักรักษาประชาธิปไตยด้วย
                  

 

การได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยความไม่ยินยอมพร้อมใจจากประชาชนส่วนใหญ่เท่ากับเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ย่อมเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย
                  

 

หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมาข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ
                  

 

ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ปัจจุบันอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ นานาอารยะประเทศส่วนใหญ่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ฉะนั้น เมื่อกาละและเทศะในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วจากอดีต ศาลจึงไม่อาจที่จะรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐ ประหารว่าเป็นรัฎฐาธิปัตย์
                  

 

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปเช่นกันว่า ผู้ร้องประกอบด้วยคณะกรรมการที่เป็นผลพวงของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) แต่ คปค. เป็นคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 จึงเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยดังเหตุผลข้างต้น ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แม้จะได้รับการนิรโทษกรรมภายหลังก็ตาม หาก่อให้เกิดอำนาจที่จะสั่งการหรือกระทำการใดอย่างรัฏฐาธิปัตย์
                  

 

 

ผู้ร้องประกอบด้วยคณะบุคคลที่เป็นผลพวงของ คปค. ย่อมไม่มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต พุทธศักราช 2542 ด้วยเช่นกัน ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) คดีนี้ อำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาว่าผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย"
                  

 

 

แม้ความเห็นดังกล่าวจะเป็นเพียงความเห็นของผู้พิพากษาเพียงคนเดียวที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหลักที่ศาลฎีกาได้เคยวางเอาไว้ได้ แต่ความเห็นดังกล่าวก็เป็นความเห็นที่ "ถูกต้อง" ทางวิชาการซึ่งก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้ ด้วยเหตุนี้เองที่ในช่วงเวลา 2 ปีเศษที่ผ่านมาจึงมีผู้นำเอาความเห็นของคุณกีรติฯ ไปใช้ในที่ต่าง ๆ มากมาย รวมถึงในการเรียนการสอนวิชากฎหมายมหาชนในมหาวิทยาลัยหลาย ๆ แห่งด้วยเพราะความเห็นดังกล่าวเปรียบเสมือนแสงเทียนในความมืดที่อย่างน้อยก็ทำให้เกิดความสว่างขึ้นในความคิดของคนกลุ่มหนึ่งได้ ซึ่งผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่า คุณกีรติฯ คงไม่ใช่ผู้พิพากษาคนเดียวที่เห็นเช่นนั้น แต่คุณกีรติฯ เป็น "ผู้กล้า" ที่นำเสนอความคิดเห็นของตนเองออกมาในคำพิพากษาของตนครับ
                  

 

 

 ในช่วงเวลา 2 - 3 เดือนข้างหน้านี้คงเป็นช่วงเวลาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะพิจารณาคดีรถและเรือดับเพลิงซึ่งส่วนหนึ่งของคดีดังกล่าวก็มีที่มาจากการใช้อำนาจของคณะรัฐประหาร จริงอยู่ที่แม้ศาลฎีกาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะได้เคยรับรองความถูกต้องของสิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจของคณะรัฐประหารเอาไว้

 

แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดโอกาสหนึ่งที่กำลังมาถึงในระยะเวลาอันใกล้ เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใคร "กล้า" โต้แย้ง เป็นโอกาสที่จะทำให้ผู้ที่จะทำรัฐประหาร "ไม่กล้า" ทำรัฐประหารอีกโดยไม่จำเป็นต้องไปนั่งเขียนอะไรมาควบคุมให้เสียเวลาเลย โอกาสที่ว่าจะมาถึงได้ก็ต้องอาศัยการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง "พร้อมใจกัน" ปฏิเสธการรัฐประหารดังเช่นที่คุณกีรติฯ เคยทำมาแล้วครับ
                  

 

 

อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วในตอนต้นของบทบรรณาธิการครั้งนี้ว่า ข้อคิดเห็นของผมเป็นความฝันที่ผมอยากให้เกิดขึ้นและผมก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ยากที่จะเกิดขึ้นด้วยเพราะหากอ่านคำวินิจฉัยของคุณกีรติฯ อย่างละเอียดก็จะพบว่า บรรดาเหตุผลทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยของคุณกีรติฯ เป็นเหตุผลที่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนเลย รวมทั้งยังไม่ได้เป็นเหตุผลที่มีขึ้นเพื่อช่วยคนหรือกลุ่มคนให้หลุดพ้นจากความผิด แต่เป็นเหตุผลที่มีฐานทางกฎหมายสนับสนุนอย่างชัดแจ้ง นั่นก็คือ มาตรา 113 แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติไว้ว่า
                  

"ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อ
                      

(1)   ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
                      

(2)   ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
                      

(3)   แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร
                    

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต"
                  

 

เพียงแต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองปฏิเสธการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 และปฏิเสธการกระทำต่างๆ ที่เกิดจากหรือมีที่มาจากหรือเกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหาร รวมทั้งนำเอาบทบัญญัติมาตรา 113 ข้างต้นมาใช้กับ คปค. ซึ่งเป็นผู้ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่ทิศทางที่ถูกต้อง และต่อไปก็จะทำให้ผู้ที่จะทำรัฐประหารคิดหนักเพราะโทษของการรัฐประหารก็คือประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตครับ
                  
                  

นี่คือโอกาสดีที่ประเทศไทยจะปฏิเสธการรัฐประหาร

 

เป็นโอกาสดีที่กำลังจะมาถึงในเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าครับ


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1325482046&grpid=01&catid=02&subcatid=0202

เล่าสู่กันฟัง เบิร์ด

 Kamolporn Banlue
☆•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•★♥*´¨`*•.¸¸.•★
`ฤดูหนาวที่นี่ฝนตกตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนีก็ตกปรอย ที่เชียงใหม่เพื่อนบอกร้อน พอกลางคืนบอกหนาวและฝนตก ღღღღღღღღღღ•
██░░░██░░░░▄███▄░░██░░░██░████
██░░░██░░░██▀░▀██░██▄░▄██░██▄░
██░░░██░░░██▄░▄██░░██▄██░░██▀░
██░░░████░░▀███▀░░░░███░░░████
[♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥]
██▄░░▄██░░▄███▄░░██░░██
░▀████▀░░██▀░▀██░██░░██
░░░██░░░░██▄░▄██░██░░██
░░░██░░░░░▀███▀░░▀████▀
[♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥]
██▄░▄██░██▄░░▄██
██▀█▀██░░▀████▀░
██░░░██░░░░██░░░
██░░░██░░░░██░░░
[♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥]
█████▄░████░▄███▄░████
██▄▄█▀░██▄░░▀█▄▀▀░░██░
██░░██░██▀░░▄▄▀█▄░░██░
█████▀░████░▀███▀░░██░
[♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥][♥]
████░████▄░██░████░██▄░██░████▄░░▄███▄
██▄░░██░██░██░██▄░░███▄██░██░▀██░▀█▄▀▀
██▀░░████▀░██░██▀░░██▀███░██░▄██░▄▄▀█▄
██░░░██░██░██░████░██░░██░████▀░░▀███♥ 
(> " " <)•*¨`*•(¯`v´¯) (¯`v´¯)
(= 'o' =)❤•*¨`*•.¸(¯`v´¯)¸.•´*¨`*•❤ .
-(,,)-(,,)______❤ •.¸.•´❤
____♥_♥_♥_♥________♥_♥_♥_♥_
___♥_________♥___♥__________♥
__♥____________♥_____________♥
██▓▒▒▒▒████▓▒██▓▒▒██▓▒████▓▒ ██▓▒▒▒▒█▓▒█▓▒▒██▓██▓▒▒██▄▓▒▒
██▓▒▒▒▒█▓▒█▓▒▒▒███▓▒▒▒██▀▓▒▒♥
████▓▒▒████▓▒▒▒▒█▓▒▒▒▒████▓▒
________♥___ ___♥___♥___♥
__________♥______♥____♥
____________♥______♥
______________♥-.-♥.
_______________♥ —..,,ಌHAPPY 2012