วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เนคเทค เดินหน้าพัฒนาระบบช่วยเหลือผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมขยายผลการใช้งานเพิ่มเติมในปีหน้า

ศูนย์เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เดินหน้าพัฒนาระบบช่วยเหลือผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมขยายผลการนำไปใช้งานเพิ่มเติมในปี 2554
ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ นักวิจัยสถาบันวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก กล่าวถึงโครงการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการดำรงชีวิตอิสระ ในกลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุ ว่า เดิมทีระบบที่ใช้ช่วยเหลือผู้พิการและผู้สูงอายุเรียกว่าระบบเมนี่ทูวัน หรือระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยคือระบบจะทำงานก็ต่อเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับผู้พิการ และผู้สูงอายุ เท่านั้น ดังนั้น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค จึงร่วมกับ เทศบาลนครขอนแก่น และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น พัฒนาปรับปรุงระบบใหม่ โดยการนำระบบเซ็นเซอร์และอุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการตรวจจับ ความผิดปกติเป็นรูปแบบวันทูเมนี่ มีลักษณะอุปกรณ์คือเป็นรีโมทคอนโทรลไร้สาย ติดตัวผู้พิการหรือผู้สูงอายุ ใช้งานได้ในรัศมี 50 เมตร ผู้ใช้งานสามารถบังคับอุปกรณ์ได้โดยใช้เฉพาะมือและนิ้วอย่างน้อยหนึ่งข้าง เหมาะสำหรับผู้พิการที่สามารถใช้แขนและนิ้วได้ดี กลุ่มผู้ป่วยอัมพาต กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งหากพบความผิดปกติเกิดขึ้นจะสามารถส่งสัญญาณจากรีโมทเพื่อติดต่อขอความ ช่วยเหลือได้ทันท่วงที ขณะนี้มีการนำไปใช้งานกับผู้พิการและผู้สูงอายุในจังหวัดขอนแก่นแล้ว และในปี 2554 จะขยายผลเพื่อนำไปใช้งานเพิ่มเติม โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยราชมงคลใน 9 วิทยาเขตทั่วประเทศ

 
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : สุภาภรณ์ สุขันทอง   Rewriter : ภัทรศรี วนิชาชีวะ
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


--

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บ้าน กลุ่มศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน: เพลง บางสระเก้า..บทเพลงจากชาววิทยุชุมชน กับการรวมใ...

บ้าน กลุ่มศิลปะ ดนตรี กวีประชาชน: เพลง บางสระเก้า..บทเพลงจากชาววิทยุชุมชน กับการรวมใ...: "'....เสียงจากวิทยุชุมชน ให้ทุกคนได้ฟังข่าวสารส่งเสียงเพื่อประชาสัมพันธ์ ให้รู้ฟังกัน สื่อสารจากเสียงเรื่องราวของชาวชุมชน ว่าในตำบลมีสิ่งดีมา..."


เพลง บางสระเก้า-หนุ่ม เทคนิค อัลบั้ม เอกลักษณ์ลูกทุ่งชุมชน
ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตที่ผูกพันกับวิทยุชุมชน ซึ่งในวันนี้ 13 ธ.ค.2553 มีการชุมนุมใหญ่วิทยุชุมชน : ทวงสัญญา กทช. 1 ปีกับการออกใบอนุญาต ก้าวหน้าหรือล้มเหลว 13 ธันวาคม 2553 ณ ลานสนามหญ้าหน้า กทช.

-แสดงพลังของวิทยุชุมชนที่แท้จริง ที่กำลังประสบปัญหาจากกระบวนการออกใบอนุญาตของกทช.
-เรียกร้อง ให้กทช.ยึดมั่นในหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตให้กับวิทยุชุมชนที่แท้จริง เพื่อรักษาพื้นทื่การออกอากาศ
-ตรวจสอบการทำงานของกทช.ในรอบ1ปีที่ผ่านมาและร่วมยื่นหนังสือให้ สว.ตรวจสอบ



กำหนด การชุมนุมใหญ่วิทยุชุมชน : ทวงสัญญา กทช. 1 ปีกับการออกใบอนุญาต ก้าวหน้าหรือล้มเหลว 13 ธันวาคม 2553 ณ ลานสนามหญ้าหน้า กทช.

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันที่ ๒๒-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ

           สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจะจัดงานสัมมนาทางวิชาการภายใต้ งานสัปดาห์ส่งเสริมจริยธรรมแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๓ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อส่งเสริมจิตสำนึกด้านจริยธรรมให้กับทุกภาคส่วนของสังคม ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ๑ และ ๒

การจัดสัมมนาดังกล่าวแบ่งออกเป็น ๒ วัน ประกอบด้วย 
          วัน จันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ภาคเช้าเป็นการปาฐกถา เรื่อง “ปฏิรูปประเทศไทยโดยใช้จริยธรรม” เป็นการเปิดสัมมนาทางวิชาการ ในหัวข้อ ปฏิรูปประเทศไทยโดยใช้จริยธรรม นำเสนอเนื้อหาในภาพของจริยธรรมที่เคยปรากฏให้พบเห็นมากมายในอดีต แต่ในปัจจุบันจริยธรรมอันดีงามกลับลดน้อยถอยลงไป การปาฐกถาจะนำเสนอเนื้อหาให้เห็นภาพของจริยธรรมของประเทศไทยในสังคมปัจจุบัน ในภาคบ่ายเป็น การสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “ฟื้นจริยธรรม...ทางออกของสังคมไทย” สังคมไทยในปัจจุบันประสบกับวิกฤตรอบด้าน และสิ่งที่สังคมเรียกร้องให้กลับคืนมาอย่างสง่างาม คือ “จริยธรรม” การสัมมนาจะเสนอแนวคิดด้านจริยธรรมจากหลายกลุ่มสังคมไม่ว่าจะเป็นสังคมกลุ่ม นักธุรกิจ กลุ่มนักสื่อสารมวลชน และกลุ่มผู้มีบทบาททางสังคม 

          วัน อังคารที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ภาคเช้าเป็นการสัมมนากึ่งวิชาการ เรื่อง “จริยธรรมไทยในสังคมยุค Generation Y” นำเสนอแนวคิดทางด้านจริยธรรมส่งต่อให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือคนที่เกิดหลังปี ค.ศ. ๑๙๘๐ รวมทั้งมุมมองของกลุ่มคนหลากหลายอาชีพที่มีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้ ในภาคบ่ายการสัมมนา ทางวิชาการ เรื่อง “จริยธรรมกับการเมืองไทย ฤาจะเป็นเพียงเส้นขนาน” เป็นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับจริยธรรมในระบบการเมืองไทย ระบบการเมืองไทยเคยมีจริยธรรมมาก่อนแล้วจางหายไป หรือไม่เคยมีจริยธรรมในระบบการเมืองไทยเลย ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุใด ผู้ร่วมงานจะได้รับฟังการแลกเปลี่ยนประเด็นดังกล่าวจากเหล่านักวิชาการ นักการเมือง และข้าราชการ
ใน การนี้ จึงขอเรียนเชิญท่านเข้าร่วมสัมมนาในวันและเวลาดังกล่าวโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และขอความร่วมมือยืนยันการเข้าร่วมสัมมนาโดยทางโทรสาร รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ๓ ภายในวันจันทร์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
 
สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
          ขอเชิญท่านผู้สนใจ เข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการ ภายใต้ งานสัปดาห์ส่งเสริมจริยธรรมแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๓
          ในวันที่ ๒๒ - ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เวลา ๙.๐๐ - ๑๖.๓๐ น.
          ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมคอนราด

 การสัมมนาในวันจันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ประกอบไปด้วย
ภาคเช้า
          การปาฐกถา เรื่อง “ปฏิรูปประเทศไทยโดยใช้จริยธรรม” โดย
          - คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม   อดีตรองนายกรัฐมนตรี
          และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ภาคบ่าย
          การสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “ฟื้นจริยธรรม...ทางออกของสังคมไทย” โดย
          - พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร, รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ, คุณณรงค์ โชควัฒนา และ คุณพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร
          ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล

 การสัมมนาในวันอังคารที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ประกอบไปด้วย

ภาคเช้า
          การสัมมนากึ่งวิชาการ เรื่อง “จริยธรรมไทยในสังคมยุคเจเนเรชั่น Y” โดย
          - คุณทรงกลด บางยี่ขัน, ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล, คุณธนกร ฮุนตระกูล และ อ.นิมิต อังก์
          - ดำเนินรายการโดย คุณแทนคุณ จิตต์อิสระ

ภาคบ่าย
          การสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “จริยธรรมกับการเมืองไทย...ฤาจะเป็นเพียงเส้นขนาน” โดย
          - คุณสุนทร จันทร์รังสี, คุณรสนา โตสิตระกูล, ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ และ ดร.ทิวากร แก้วมณี
          - ดำเนินรายการโดย คุณวีณารัตน์ เลาหภคกุล

          สำรองที่นั่ง และส่งใบตอบรับเข้าร่วมสัมมนาได้ที่
          โทรสาร ๐ ๒๙๓๔ ๕๖๕๖
          ภายในวันที่ ๑๐ พ.ย. ๒๕๕๓
ไม่เสียค่าใช้จ่าย - ที่นั่งมีจำนวนจำกัด


 



วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันที่ 21- 25 มีนาคม 2554 ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กำหนดให้มีการประชุมวิชาการระดับชาติ UTCC Academic Week ประจำปีการศึกษา 2553 ระหว่างวันที่ 21- 25 มีนาคม 2554

รายละเอียดตามเอกสารไฟล์แนบ  ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
0-2697-6897

http://ransys.swu.ac.th/Research_News/Files/4375.pdf



วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2553 เวลา 13.30-15.30 น.ณ ห้องศาสตราจารย์นายแพทย์เทพนม เมืองแมน อาคาร 5 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ขอเชิญร่วมรับฟังการเสวนาในหัวข้อ "ความคิดลิขิตกรรมภาค 2"

วัน เวลา: 
22/11/2010

ขอเชิญร่วมรับฟังการเสวนา ประจำเดือนพฤศจิกายน 2553

ในหัวข้อ "ความคิดลิขิตกรรมภาค 2"

กิจกรรมในโครงการสานเสวนาเพื่อสร้างสุขสู่สังคม

ความคิดลิขิตกรรม ภาค 2

วันจันทร์ที่  22 พฤศจิกายน 2553 เวลา 13.30-15.30 น.

ณ ห้องศาสตราจารย์นายแพทย์เทพนม เมืองแมน อาคาร 5

คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

จัดโดย แผนงาน สอส. ระยะที่ 2

สนับสนุนโดย สสส. และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

          แต่ละความคิดเปรียบได้กับ เมล็ด งอก งามเป็นความรู้สึก เติบโตเป็นถ้อยคำปรากฎเป็นการกระทำนิสัย และบุคลิกความคิดและทัศนคติของเราแต่ละคนสร้างบรรยากาศรอบๆ ตัวเราที่มีผลต่อทั้งสภาพจิตใจ ร่างกาย และทุกสิ่งที่เราคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนแล้วเกี่ยวพันกับสิ่งที่เราสร้างขึ้นภายในจิตใจเรา จึงควรใส่ใจกับ อะไรที่เราคิด เพราะ ท่านเป็นเช่นที่ท่านคิด

 

          สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ แผนงาน สอส. ระยะที่ 2 โทร. 0-2644-6916, 0-2354-8543 ต่อ 1924, 089-225-8585

 

 

 

 

 

ที่มา : แผนงานการพัฒนาสถาบันการศึกษาสาธารณสุขให้เป็นองค์กรการสร้างเสริมสุขภาพ (สอส.)





วันที่ 15 -30 พฤศจิกายน 2553 ณ ชั้น G เอสพละนาด ถนนรัชดา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ขอเรียนเชิญร่วมพิธีเปิดงานเทศกาลภาพยนต์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ครั้ง ที่ 6 (The Sixth Science Film festival) ระหว่างวันที่ 15 -30 พฤศจิกายน 2553 ณ ชั้น G เอสพละนาด ถนนรัชดา  รายละเอียดตามเอกสารไฟล์แนบ

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 0-2392-4021 ต่อ 1304


--

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2553 เวลา 12.00 - 13.00 น. ณ เวทีกิจกรรม Hall A ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

พบกับงานเปิดตัวหนังสือ "อย่างนี้ก็มีด้วย" และ "ไขรหัสโลกลี้ลับ" ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 15
          วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2553 เวลา 12.00 - 13.00 น. 
          ณ เวทีกิจกรรม Hall A ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 
          ร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์แปลกแต่จริงกับ คุณจิตรลดา สิงห์คำวิทยากรผู้แปลหนังสือเรื่อง "อย่างนี้ก็มีด้วย !" พร้อมกิจกรรมสนุก ๆ ภายในงานค่ะ มาร่วมไขปริศนาลี้ลับก้องโลกที่ไม่เคยมีใครกล้าบอกความจริงคุณมาก่อน และร่วมพิสูจน์ปรากฎการณ์พิสดารพันลึกที่เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ บนโลกใบนี้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
บริษัท เอ็กซเปอร์เน็ท จำกัด
โทร.02-718-1821
e-mail :marketing_expernetbooks@hotmail.com
www.expernetbooks.com
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-7181821 expernetbooks



วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บทความ ที่ผมไปนำเสนอครับ




จาก: ICT for All Club <ictforall.th@gmail.com>
วันที่: 18 ตุลาคม 2553, 20:27
หัวเรื่อง: บทความ ที่ผมไปนำเสนอครับ
ถึง:


ตามไฟล์แนบครับ



ทศพนธ์



วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม นี้ เวลา 08.30 - 14.00 น.ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 311 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2

นางสาวรสนา  โตสิตระกูล ประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา กล่าวว่าวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม นี้ เวลา 08.30 – 14.00 น. กมธ.จะร่วมกับคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา จัดโครงการเสวนาประชาชนเรื่อง“เขื่อนไชยะบุรี:ความจำเป็น ผลประโยชน์ และผลกระทบ?”โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีการนำเสนอข้อมูลและการวิเคราะห์ในด้านต่าง ๆ ต่อสาธารณะ เพื่อให้โครงการเกิดความโปร่งใสและตั้งบนหลักการธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง โดยการเสวนาดังกล่าวจะมีขึ้น ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 311 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2 และคาดว่า จะสามารถนำเสนอข้อมูลโครงการเขื่อนไชยะบุรีได้อย่างรอบด้าน และสาธารณชนเข้าใจและเข้าถึงข้อมูลต่อผลการศึกษาของผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ ในแม่น้ำโขง

นางสาวรสนา กล่าวด้วยว่า การจัดเสวนาหัวข้อดังกล่าวจะมีการอภิปรายโดย นายสาทิตย์  วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายประสาร มฤคพิทักษ์ ประธานคณะอนุกมธ.ศึกษาคุณค่าการพัฒนา และผลกระทบในลุ่มน้ำโขง นายไกรศักดิ์  ชุณหะวัน ประธานคณะกมธ.การพัฒนาการเมืองการสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สผ. นายสุทัศน์  ปัทมศิริวัฒน์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย นายวิฑูรย์  เพิ่มพงศาเจริญ เครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาแม่น้ำโขง (MEETNET)

นายหาญณรงค์  เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ และนางสาวเพียรพร  ดีเทศน์ โครงการแม่น้ำเพื่อชีวิต



--

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2553 เวลา 14.30 -17.00 น. ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ ชั้น 4 ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์

บริษัท เทเลอินโฟ มีเดีย จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเว็บหน้าเหลือง www.yellowpages.co.th ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด ขอเชิญผู้ประกอบการ SMEs เข้าร่วมสัมมนาในหัวข้อ “ติดปีก SMEs ไทย ด้วยการตลาดออนไลน์” เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ SMEs ด้านการตลาดออนไลน์ และเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร พร้อมรับแพคเกจสื่อโฆษณาออนไลน์ฟรี ในวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2553 เวลา 14.30 -17.00 น. ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ ชั้น 4 ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมสัมมนาได้ที่ http://www.yellowpages.co.th/newsdesc.php?n=101008182614 หรือโทร 02-262-8888 ต่อ 8426

นลินี เฉลียวเกรียงไกร (นะ)
Public Relations Specialist
Teleinfo Media Plc.
Tel : 0-2262-8888 # 8238
E-mail : nalineec@teleinfomedia.net



วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2553 เวลา 15.00 - 18.30 น. ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 4 โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต

 

ติดปีก SMEs ด้วยตลาดออนไลน์  

 

สำนัก งานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เทเลอินโฟ มีเดีย จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา ติดปีก SMEs ด้วยตลาดออนไลน์ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางและวิธีการทำตลาดออนไลน์ การทำตลาดในรูปแบบของ Mobile Marketing และทิศทางของ SMEs ในยุคดิจิตอล โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรชื่อดัง คุณอภิศิลป์ ตรุงกานน์ และคุณธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย มาร่วมถ่ายทอดข้อมูล ในวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2553 เวลา 15.00 18.30 น. ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 4 โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต

 

ผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย ติดต่อได้ที่ 02-262-8467 ถึง 8 และ 02-262-8471-2 ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายและรับจำนวนจำกัด

 

 

กำหนดการงานสัมมนา
ติดปีก SME ไทยด้วยการตลาดออนไลน์

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2553 เวลา 15.00 -18.30.

ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ ชั้น 4 ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์

 

เวลา

วิทยากร

รายละเอียด

-------------------14.30 – 15.00  ลงทะเบียน-------------------

15.10 – 15.20 น.

 

ประธานกล่าวเปิดการสัมมนาโดยรองนายกรัฐมนตรี
(นายไตรรงค์  สุวรรณคีรี)

15.20 – 16.00 .

(40 นาที)

ผศ.ศรัณยพงศ์  เที่ยงธรรม

 

-     การตลาดสำหรับธุรกิจSME

-     เทรนด์การตลาดสำหรับ SME ในอนาคต

16.00 – 16.40 น.

(40 นาที)

คุณอภิศิลป์  ตรุงกานน์

-     แนวทาง / วิธีการทำการตลาดออนไลน์ให้ SMEs

-     ข้อควรพิจารณาในการทำการตลาดออนไลน์

-     แนะนำบริการสำหรับ SME online product ของ TMC

----------------16.40 – 17.05 . (15 นาที)  รับประทานอาหารว่าง ----------------

17.05 – 17.45 น.

(40 นาที)

ตัวแทนจาก AIS

-           การทำการตลาดในรูปแบบของ Mobile marketing

-           ความเชื่อมโยงจาก web marketing มา mobile Marketing

-           แนะนำสินค้าหรือบริการของ AIS สำหรับ SME

17.45 – 18.25 .

(40 นาที)

อาจารย์ธันยวัชร์  ไชยตระกูลชัย

-           ทิศทางของ SMEs ในยุคดิจิตอล

-           เปิดให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาถามคำถามและแสดงความคิดเห็น

 

-----------------------  ตั้งแต่ 18.25 – 18.30 . มอบรางวัลให้กับผู้โชคดี  -------------------

 

 

----------------------   18.30. จบการสัมมนาและรับประทานอาหารว่าง   ---------------------

 

ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับสิทธิพิเศษในการพิจารณาเข้าร่วมโครงการตลาดออนไลน์ จาก Thailand Yellow Pages ฟรี

จากที่ปกติมีค่าใช้จ่ายรายละ 10,000 บาท และได้รับสิทธิพิเศษในการขอรับบริการจากเอไอเอสในราคาพิเศษสุด




วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2553 เวลา 8.30 - 16.30 น. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ถ.เพลินจิต

SCG จัดงาน Thailand Sustainable Development Symposium 2010 ถ่ายทอดแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
โพสต์เมื่อ: 09:48 วันที่ 12 ต.ค. 2553         ชมแล้ว: 52 ตอบแล้ว: 0

            SCG  องค์กรต้นแบบด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน  ระดับ Gold Class  และเป็นที่ 1 ของโลกในกลุ่มก่อสร้างและวัสดุ ประจำ 2553  จาก Dow Jones Sustainability Indexes หรือ DJSI**  พร้อมถ่ายทอดแนวคิดการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ในการประชุมระดับชาติ “Thailand Sustainable Development Symposium 2010” ที่จะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2553  เวลา 8.30 - 16.30 น. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ถ.เพลินจิต โดยแบ่งการประชุมเป็น 2 ช่วง 

            • ช่วงเช้า  รับฟังแนวทางการมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย จาก ฯพณฯ กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเรียนรู้ปรัชญา “ความสุขมวลรวมของภูฏาน” ซึ่งเป็นเป้าหมายและความหวังจากการพัฒนาอย่างยั่งยืนจาก H.E. Lyonpo Dr. Kinzang Dorji (ฯพณฯ เลียนโป ดร. คินซัง ดอร์จิ) อดีตนายกรัฐมนตรีภูฏาน เป็นผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรีภูฏาน  รวมทั้งคุณกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ที่จะมาถ่ายทอดแนวคิดการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน 

            • ช่วงบ่าย  เป็นการเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และทัศนะ จากผู้แทนองค์กรภาครัฐ เอกชน องค์กรอิสระ นักวิชาการ เพื่อถ่ายทอดพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมการทำ Workshop ในรูปแบบ Interactive Seminar โดยแบ่งเป็นห้องสัมมนาย่อย 3 ห้อง ให้ผู้ร่วมประชุมสามารถเลือกเข้าฟัง

            ห้องที่ 1 “Doing Well by Doing Good”  ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการสร้างสมดุลระหว่างผลประกอบการ สิ่งแวดล้อม และสังคม 
            ห้องที่ 2 Technology Innovation towards Sustainability  ร่วมฟังประสบการณ์จริง และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ของนักวิจัยไทยที่สร้างสรร์นวัตกรรม เพื่อโลกที่น่าอยู่และเป็นสุข
            ห้องที่ 3 Harmonizing Industry with Society, a Learning from Japan  ถอดบทเรียนการจัดการสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นที่ช่วยให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างมีความสุข 

            SCG จึงขอเชิญชวนนักธุรกิจและผู้มีวิสัยทัศน์เข้าร่วมงานครั้งนี้  ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนสำรองที่นั่ง โดย      ไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ www.scg.co.th/sdsymposium  ภายในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ สอบถามเพิ่มเติมโทร.02-1589292

หมายเหตุ
   Dress Code :  Business Casual  (เพื่อช่วยกันลดโลกร้อน การแต่งกายงานนี้ งดใส่สูท งดผูกเนคไทด์)
            การเดินทางที่สะดวกที่สุด :  รถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานีชิดลม หรือสถานีสยาม



--

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2553 เวลา 09.00 -18.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

กำหนดการกิจกรรม
งานเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย  ประจำปี 2553
วันจันทร์ที่  18  ตุลาคม  2553  เวลา 09.00 -18.00 น.
ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2  อิมแพ็ค  เมืองทองธานี

9.00 - 12.00 น.

การแข่งโรบอทกู้ภัย เยาวชนไทยทำได้รอบชิงชนะเลิศ (ณ ลานกิจกรรม)

สัมมนาเรื่อง การพัฒนาสร้างเครื่องจักรด้วยวิศวกรรมย้อนรอย
โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ  (ห้องจูปิเตอร์ 4)

การฝึกอบรมอาชีพ
โคมไฟญี่ปุ่น / ประดิษฐ์ผ้าคลุมเก้าอี้พลาสติกกลม / งานประดิษฐ์ลวดดัด / การลงรักปิดทอง / การประดิษฐ์ลูกโป่งเป็นรูปแบบต่างๆ เพื่อการจัดสถานที่

13.00 - 17.00 น.

การแข่งขันโรบอทกู้ภัย..เยาวชนไทยทำได้รอบชิงชนะเลิศ (ณ ลานกิจกรรม)

สัมมนาเรื่อง การพัฒนาสร้างเครื่องจักรด้วยวิศวกรรมย้อนรอย
โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ   (ห้องจูปิเตอร์ 4)

เสวนาประสาหมู่บ้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ห้องจูปิเตอร์ 5)

การฝึกอบรมอาชีพ
โคมไฟญี่ปุ่น / ประดิษฐ์ผ้าคลุมเก้าอี้พลาสติกกลม / งานประดิษฐ์ลวดดัด / การลงรักปิดทอง / การประดิษฐ์ลูกโป่งเป็นรูปแบบต่างๆ เพื่อการจัดสถานที่

โชว์นวัตกรรม จาก  อพวช. (เวทีกลาง)

17.00 - 18.00 น. พิธีมอบรางวัลชนะเลิศการประกวดโรบอท..กู้ภัยเยาวชนไทยทำได้



วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ย้อนรอย สืบรากฯ จีน-สยาม 5 ภาษา

ย้อนรอย สืบรากฯ จีน-สยาม 5 ภาษา
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 ตุลาคม 2553 22:32 น.

การแสดงเทศกาลตรุษจีนในเยาวราช ปี 2552 สะท้อนให้เห็นถึงการไม่ละทิ้งพิธีกรรมของชาวจีนในไทย (ภาพเอเยนซี)
       โครงการ จีนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา โครงการปริญญาโทวัฒนธรรมจีนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอาศรมสยาม-จีนวิทยา ได้ร่วมกันจัดสัมมนาเรื่อง "จีนสยาม 5 ภาษา" ขึ้น (10 ก.ย. 2553) ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านจีน เพื่อนำทางย้อนรอยค้นรากวัฒนธรรมของชาวจีนแต่ละกลุ่มภาษา ที่มุ่งหน้าสู่สยามแต่ครั้งบรรพกาล แล้วตั้งหลักปักฐานใช้ชีวิตอยู่ในสยามตราบจนปัจจุบัน
       
       ในพิธีเปิด กล่าวรายงานโดยรศ.ดร.มาลินี ดิลกวณิช ประธานโครงการจีนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา และกล่าวเปิดงานโดย รศ.ดร. ชัชวดี ศรลัมพ์ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากพิธีเปิดพิธีกร อ.ดร.สุรสิทธิ์ อมรวณิชศักดิ์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวแนะนำวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านจีนแต่ละกลุ่มภาษา โดยเริ่มต้นการเสวนาจากกลุ่มจีนแคะ หรือจีนฮากกาเป็นลำดับแรก แล้วตามด้วย จีนกวางตุ้ง จีนฮกเกี้ยน จีนแต้จิ๋วและจีนไหหลำ ตามลำดับ

เมืองเหมยโจว มณฑลกวางตุ้งรากเหง้าของอารยธรรมชาวจีนฮากกา (ภาพเอเยนซี)
       แคะนักอพยพ
       
       วิทยากรบรรยายมีสองท่าน คือ อาจารย์วรศักดิ์ มหัทธโนบล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา และคุณนพดล ชวาลกร ผู้อำนวยการศูนย์ฮากกาศึกษา
       
       อาจารย์วรศักดิ์ได้เขียนหนังสือ "คือฮากกา คือจีนแคะ" ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากแรงบันดาลใจที่ต้องการจะสืบค้นประวัติการอพยพของ บรรพบุรุษของท่าน หนังสือเล่มนี้จึงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับชาวจีนแคะอีกหลายคนให้มุ่ง หน้าค้นหารากเหง้าของตน รวมทั้งคุณนพดลด้วย และจากการสืบค้นประวัติดังกล่าว จึงทำให้อาจารย์วรศักดิ์สามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจีนฮากกาไว้เป็นจำนวน มาก ท่านเล่าประวัติจีนฮากกาว่า
       
       " จีนฮากกาเป็นนักอพยพ ซึ่งอพยพประมาณสี่หรือห้าระลอกด้วยกัน แต่ละครั้งนั้นประดุจแผ่นดินไหว เป็นการเคลื่อนตัวของคนนับพันนับหมื่น จึงทำให้จีนฮากกามีสำเนียงการพูดที่แตกออกเป็นสิบแปดลักษณะ"
       
       จากการอพยพบ่อยครั้งนี้เองทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับเจ้าของถิ่น เดิม อาจารย์วรศักดิ์ยกตัวอย่างที่สำคัญคือ "ในสมัยราชวงศ์ชิง จีนฮากกาขัดแย้งกับจีนกวางตุ้ง ถึงกับทำสงครามเสียชีวิตคนนับแสน เมื่อไม่สามารถแย่งที่อันอุดมสมบูรณ์มาได้ จีนฮากกาจึงอพยพเข้าสู่เขตป่าเขาทุรกันดาร"
       
       คุณนพดลกล่าวเสริมในประเด็นหลัก "หลังจากที่จีนฮากกาอพยพเข้าสู่ป่าเขาแล้ว การดำรงชีวิตไม่ได้สมาคมกับโลกภายนอก จึงทำให้ลักษณะเฉพาะของชาวจีนฮากกาเป็นคนเก็บตัว และใช้ชีวิตมุ่งไปสู่การศึกษาเป็นหลัก เช่น แต่งบทกวี เรียนปรัชญาการปกครอง เพื่อเข้าสู่การสอบคัดเลือกเป็นขุนนางในราชสำนัก จะเห็นได้ว่าในบรรดาขุนนางจีนนั้นมีชาวจีนฮากกาจำนวนพอสมควร"
       
       "เมื่อจีนฮากกาบางกลุ่มอพยพเข้ามาสู่สยาม กลับหันมาประกอบอาชีพด้านหัตถกรรม เราจะเห็นงานฝีมือด้านเครื่องหนัง กระเป๋า รองเท้า ช่างเงิน ช่างทองฯ ล้วนเป็นธุรกิจที่ชาวฮากกาผูกขาด เมื่อทำงานด้านหัตถกรรม ค่าตอบแทนจึงเป็นรายชิ้น ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยได้ค่าตอบแทนน้อย จีนฮากกาในไทยจึงมีลักษณะตระหนี่เป็นส่วนมาก" คุณนพดลกล่าวเสริม
       
       อาจารย์ วรศักดิ์ทิ้งท้ายเกี่ยวกับอาหารการกินที่เป็นเอกลักษณ์ของจีนฮากกา ว่าไม่เหมือนกับจีนอื่น ๆ อีก ๔ กลุ่มภาษา อาหารของจีนฮากกามีไม่มาก ที่เห็นได้ชัดเจนก็เป็นจำพวกของอบ เช่น ไก่อบ ฯ เป็นต้น

ตัวอยางอาหารจีนกวางตุ้งยอดนิยมจำพวกติ่มซำ (ภาพเอเยนซี)
       กวางตุ้ง: อาชีพกับความเชื่อ
       
       วิทยากรได้แก่คุณยุวดี ต้นสกุลรุ่งเรือง ชาวจีนกวางตุ้ง เจ้าของผลงาน "จากอาสำถึงหยำฉ่า" หนังสือที่บอกเล่าถึงเรื่องราวการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานของชาวจีนกวางตุ้งที่ หนีความยากลำบากจากแผ่นดินใหญ่ เข้ามาทำมาหากินในแผ่นดินไทย และอีกท่านคือคุณแสงอรุณ กาญจนรัตน์ นักจัดรายการวิทยุ
       
       คุณยุวดีชี้ให้เห็นว่า "ชาวจีนกวางตุ้งอพยพมาไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยพบหลักฐานว่ามีท่าเรือนานาชาติ ที่มีเรือสำปั้นมาจอด (เทียบเคียงตามหลักภาษาได้ว่า ซั่งปั๋น ซึ่งหมายถึง กระดานสามแผ่น) ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นชาวกวางตุ้งที่มาเป็นช่างต่อเรือให้กับราชสำนักอยุธยา"
       
       แสดงให้เห็นอดีตที่ยาวไกลของชาวจีนกวางตุ้ง อย่างไรก็ตาม คุณแสงอรุณตั้งคำถามถึงประเด็นการอพยพสมัยใหม่ ซึ่งหลายคนเข้าใจว่ามีความน่ากลัว และสูญเสียชีวิตคนจำนวนมาก ต้องประสบชะตากรรมสารพัด
       
       คุณยุวดีตอบว่า "สำหรับการอพยพสมัยใหม่ พบในช่วงระหว่างสงครามโลก การอพยพหาได้มีภาพที่น่ากลัวดังที่หลายคนจินตนาการ การล่องเรือมานั้นค่อย ๆ เลียบชายฝั่งมาเรื่อย ๆ นายเรือเลือกฤดูที่ปลอดมรสุม ทำให้มีความปลอดภัยสูง" พลางกล่าวต่อไปว่า
       
       "ชาว แต้จิ๋วจะไปลงเรือที่ท่าทรงวาด ส่วนเรือจีนกวางตุ้งจะมาจอดที่สาทร ตลาดน้อย และแถบวัดญวน (วัดกรรมาตุยาราม) เมื่อขึ้นเรือก็ปักหลักอยู่รวมกันเป็นชุนชน แล้วยึดอาชีพช่างกลึง ค้าขาย และเป็นพ่อครัว เป็นหลัก"
       
       คุณแสงอรุณมีคำถามเพิ่มเติมในส่วนของอาชีพว่า "นอกจากอาชีพพ่อครัวแล้วผู้หญิงกวางตุ้งทำอะไร" คุณยุวดีจึงเล่าเรื่องอาสำให้ฟังว่า
       
       "สิ่งที่น่าสนใจคืออาชีพของหญิงกวางตุ้ง ซึ่งมีลักษณะพิเศษ เนื่องจากหญิงกวางตุ้งรักอิสระ หญิงจีนกลุ่มอื่นอพยพตามสามี ส่วนหญิงกวางตุ้งบางคนหนีการแต่งงาน มาเป็นแม่บ้านราคาแพง หรืออาสำ เพราะทำอาหารเป็น พูดจีนเป็น พวกเศรษฐีมักจะจ้างไว้เลี้ยงลูก โดยมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคอยชี้นิ้วสั่งแม่บ้านเล็ก ๆ เศรษฐีฝรั่งก็ใช้หญิงกวางตุ้งเป็นคนเลี้ยงลูก คิดว่าอาชีพนี้น่าจะเป็นอาชีพสำคัญของหญิงกวางตุ้งอีกอาชีพหนึ่งทีเดียว"
       
       พูด ไปพูดมาไม่พ้นเรื่องการสังเกตพฤติกรรมของครอบครัวและเพื่อนบ้าน คุณยุวดีรวบยอดพฤติกรรมชาวกวางตุ้งว่า "โดยลักษณะทั่วไปของคนกวางตุ้งมักชอบใช้จ่าย และช่างเจรจา วันหนึ่งหากชาวกวางตุ้งได้นั่งสนทนากันจะมีเสียงเอ็ดตะโรเป็นเวลานาน นอกจากนั้นชาวกวางตุ้งมักจะเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องสี ทะเบียนรถ ฯลฯ"
       
       เรื่องที่สนุกที่สุดในการสัมมนานี้น่าจะเป็นตัวอย่างความเชื่อของชาวกวางตุ้งที่คุณยุวดีเล่าให้ฟังว่า
       
       "เมื่อครั้งมีการก่อสร้างโรงแรมที่หม่าเก๊า เจ้าของโรงแรมจะนำเงินทุกสกุลใส่ลงไปในเสาเอก เป็นความเชื่อว่าเพื่อให้ดึงดูดเงินทุกสกุลให้เข้ามาในกาสิโน ตัวตึกต้องสร้างเป็นค้างคาวแวมไพร์ดูดเลือด พนักงานทุกคนต้องมีดวงเป็นนักพนัน ไม่เช่นนั้นไม่รับเข้าทำงาน นิ้วชี้ต้องใส่แหวนเป็นรูปค้างคาวดูดเลือด เขาจะหมุนแหวนหนึ่งรอบให้ค้างคาวหันหน้าออกให้บินไปดูดเลือด คนแก้ก็ใส่เฟืองบินมาตัด นี่เป็นความเชื่อแม้กระทั่งในโรงพนัน ครั้นชนะพนันได้เงินมาเยอะก็ห้ามนำเงินกลับบ้าน เพราะเงินที่ได้จากการพนันเชื่อว่ามีผี ต้องซื้อของให้หมด ดังนั้นบ้านชาวกวางตุ้งแม้มีฐานะไม่ร่ำรวย แต่มักจะอุดมไปด้วยของแบรนด์เนมราคาแพงมากมาย"
       
       สิ่งเหล่านี้แม้จะดูเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนสมัยใหม่ แต่ก็เป็นความเชื่อที่ฝังรากลึกอยู่ในความเป็นคนกวางตุ้งสืบมา

ศาลเจ้าต่ายเตเอี๋ย เป็นศาลเจ้าของชาวจีนฮกเกี้ยนที่เข้ามาอยู่อาศัยในจังหวัดระนอง สร้างขึ้นมาประมาณ 100 ปีเศษ เนื่องจากมีชาวจีนจำนวนมากมีความเชื่อว่า พระต่ายเตเอี๋ยเป็นหมอรักษาฮ่องเต้ที่เมืองจีน มีความสามารถรักษาผู้ป่วยได้ทุกโรค จึงร่วมกันสร้างศาลเจ้าขึ้นมาเพื่อกราบไหว้ขอยาไปรักษาโรค ยังมีความเชื่อและศรัทธามาจนถึงทุกวันนี้ (ภาพเอเยนซี)
       ฮกเกี้ยน: ความเชื่อแฝงในบ้านหลังงาม
       
       หลังจากจีนกวางตุ้งจบลง ก็มาถึงจีนกลุ่มที่สามคือจีนฮกเกี้ยน ผู้จัดได้เชิญ ดร.ขวัญจิต ศศิวงศาโรจน์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นผู้จัดทำสารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ฮกเกี้ยน และคุณนพพร ภาสะพงศ์ นักเขียนอิสระ เป็นผู้บรรยาย
       
       ทั้งสองท่านสลับกันพูดและเปิดเรื่องด้วยการกล่าวถึงละครที่สะท้อนให้เห็นความเป็นจีนฮกเกี้ยนว่า
       
       "หากท่านใดได้ชมละครเรื่องบะบ๋า ยะหย๋า ก็จะเห็นภาพสะท้อนของความเป็นจีนฮกเกี้ยนได้มากทีเดียว จีนฮกเกี้ยนนั้นเป็นจีนกลุ่มแรกที่อพยพมาสู่สยาม"
       
       ดร.ขวัญจิต ยกงานเขียนของสกินเนอร์ที่กล่าวว่า "ชาวจีนล่องเรือเข้ามาค้าขายและรับราชการในตำแหน่งออกขุน ในปี พ.ศ.2012 หลักฐานสำคัญก็คือศาลเจ้าที่ชาวจีนฮกเกี้ยนเป็นผู้สร้างการอพยพช่วงแรกใช้ เรือสำเภาล่องมาตามอ่าวไทย มาปักหลักอยู่ทางภาคตะวันออกและภาคกลางของไทย"
       
       "ต่อมาจีนเปลี่ยนแปลงการปกครอง คนฮกเกี้ยนไม่พอใจก็อพยพมาไทยเป็นระลอกที่สอง และในช่วงหลังสงครามโลก ภาคใต้ของไทยก็มีการค้นพบสายแร่ดีบุก ทำให้ชาวฮกเกี้ยนอพยพมาเป็นกุลีในเหมือง กลุ่มนี้เป็นกลุ่มล่าสุด ดังนั้นขณะนี้จึงพบชาวฮกเกี้ยนหนาแน่นทางภาคใต้ของไทย" ดร.ขวัญจิตกล่าว
       
       คุณนพพรเปลี่ยนประเด็นไปสู่สถาปัตยกรรมและความเชื่อของชาวฮกเกี้ยนว่า
       
       "หลังจากมาตั้งหลักปักฐานแล้ว ชาวฮกเกี้ยนได้นำสถาปัตยกรรมเฉพาะของตนเข้ามาด้วย บ้านของชาวฮกเกี้ยนจะมีช่องระบายอากาศสี่เหลี่ยม การสร้างบ้านมีความเชื่อแฝงอยู่ ด้านหน้าจะเห็นป้ายชื่อ ตรงกลางเป็นชื่อสกุลของบ้าน เรียกว่า "หน้าปีศาจ" เพราะมีหน้าต่างอยู่ข้างประตู หน้าต่างเป็นตา ประตูเป็นปาก สร้างไว้ป้องกันสิ่งชั่วร้าย ในบ้านจะมีช่องแสง ภายในบ้านเปิดโล่ง รูปแบบบ้านมีสามลักษณะคือ บ้านตึกดิน บ้านตึกแถว และบ้านเดี่ยว ส่วนเรื่องความเชื่อเฉพาะ ชาวฮกเกี้ยนจะมีหิ้งบูชาเสาซ้ายหน้าบ้าน สำหรับไหว้เทวดาจี้กง"
       
       สำหรับ อาหารการกินที่ขึ้นชื่อ ก็ได้แก่ อาหารจำพวกหมูตุ๋น บะจ่าง ชา ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ผศ. ถาวร สิกขโกศลกล่าวเสริมในช่วงท้ายว่า ชาวจีนฮกเกี้ยนหาได้อพยพมาจากมณฑลฝูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยนทั้งหมด เป็นแต่เพียงบางส่วนที่พูดภาษาฮกเกี้ยนเท่านั้น

การแสดงงิ้วแต้จิ๋ว มีเครื่องแต่งกายที่ประณีต นับเป็นยอดงิ้วติดอันดับหนึ่งในสิบของจีน (ภาพเอเยนซี)
       คนแต้จิ๋ว: ฉลาดเปรื่อง มากไหวพริบ
       
       หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ก็ต่อด้วยกลุ่มจีนแต้จิ๋ว ซึ่ง ผศ.ถาวร สิกขโกศล ที่ปรึกษาโครงการจีนศึกษา และคุณสมชัย กวางทองพาณิชย์ เป็นผู้บรรยาย
       
       การบรรยายเต็มไปด้วยบรรยายกาศที่เผ็ดร้อน ผศ.ถาวรเรียบเรียงและเกริ่นโดยข้อมูลพื้นฐานทางด้านภาษาและวรรณกรรมว่า
       
       "หากเทียบกับกลุ่มจีน 5 ภาษา ชาวจีนแต้จิ๋วมีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย คนไทยจึงคุ้นเคยกับสำเนียงภาษาจีนแต้จิ๋วเป็นอย่างดี ภาษาแต้จิ๋วนั้นสามารถรักษาเสียงและศัพท์ภาษาจีนโบราณไว้ได้มาก มีเสียงวรรณยุกต์หลากหลาย และสามารถอ่านเป็นทำนองเสนาะได้เพราะพริ้ง"
       
       "ในด้านวรรณกรรมที่โดดเด่นของคนแต้จิ๋วคือ "กัวแฉะ" เป็นนิทานคำกลอนที่ช่วยให้ผู้หญิงแต้จิ๋วสามารถอ่านหนังสือได้แตกฉาน วรรณกรรมแต้จิ๋วนี้ได้เผยแพร่ไปทุกถิ่นที่มีคนแต้จิ๋วอาศัยอยู่"
       
       ในบทความของ ผศ. ถาวรเรื่อง "แต้จิ๋ว:จีนกลุ่มน้อยที่ยิ่งใหญ่" ซึ่งตีพิมพ์ในศิลปวัฒนธรรม ยังกล่าวถึงอาหารที่ขึ้นชื่อของแต้จิ๋ว คือ ข้าวต้ม มีทั้งข้าวต้มเครื่องและข้าวต้มขาวกับผักดอง ประกอบกับอาหารอื่น ๆ ทั้งกับข้าว ของว่าง ขนม ซึ่งนับเป็นอาหารที่ประณีตมาก อีกทั้งชาแต้จิ๋ว "กังฮูเต๊" ก็โดดเด่นมีชื่อเสียงเหนือชาทั้งปวง มีอุปกรณ์ประณีต ขั้นตอนการชงชาล้วนพิถีพิถันนับว่าเป็นยอดชาของจีน
       
       ผศ. ถาวรยกศิลปะที่โดดเด่นของชาวแต้จิ๋ว
       
       "ศิลปะ การแสดงของแต้จิ๋วที่เลื่องชื่อ คงไม่พ้น "งิ้วแต้จิ๋ว" ซึ่งแสดงเป็นภาษาท้องถิ่น งิ้วแต้จิ๋วได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสิบงิ้วที่ยิ่งใหญ่ โดยพิจารณาคุณภาพทางศิลปะและความนิยมแพร่หลาย อีกทั้งเก่าแก่มีอายุไม่ต่ำกว่า 450 ปี"
       
       นอกจากนั้น ด้วยความที่คนแต้จิ๋วเชี่ยวชาญศิลปะอย่างรอบด้าน จึงสามารถผลิตเครื่องเคลือบที่เป็นเอกลักษณ์ งานเย็บปักถักร้อย "ล้วนผู้ชายปักฝีมือเหนือผู้หญิง หาดูได้ยากในมณฑลอื่น" ศิลปะการตัดกระดาษ ศิลปะไม้แกะสลัก ฯ คนแต้จิ๋วจึงขึ้นชื่อว่า "ประณีต" ในทุกเรื่อง แม้กระทั่งการทำนาก็ตาม
       
       ผศ. ถาวรกล่าวสรุปท้ายว่า
       
       "โดยทั่วไป คนแต้จิ๋วมักจะชอบทำการค้า ประกอบธุรกิจ มีเศรษฐีชาวแต้จิ๋วอยู่ทั่วจีนและยังออกไปทำมาหากินในโพ้นทะเล จึงได้รับสมัญญาว่า "ยิวแห่งประเทศจีน" ลักษณะชอบทำการค้ามาจากนิสัยที่กล้าได้กล้าเสีย ประกอบกับคนแต้จิ๋วเป็นจีนที่ฉลาดหลักแหลม มีไหวพริบปฏิภาณสูง "ทั้งฉลาดทั้งเจ้าเล่ห์" แต่กอปรไปด้วยความพิถีพิถัน ทำให้คนแต้จิ๋วประสบความสำเร็จในทุกหนแห่งแม้ในสยามปัจจุบัน"
       
       อย่าง ไรก็ตามคุณสมชัยก็ได้นำเสนอในส่วนของการค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวกับจีนแต้จิ๋ว ผ่านทางอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ และสถานีโทรทัศน์แต้จิ๋ว พร้อมกับได้แสดงภาพของชาวแต้จิ๋วในสมัยโบราณ ล้วนแล้วแต่เป็นภาพหายากและสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตคนแต้จิ๋วในสยามอันมีค่า ยิ่ง

ขนมจีนไหหลำ อาหารลือชื่อของชาวไหหลำในไทย (ภาพเอเยนซี)
       ไหหลำ: พิธีกรรมกับชีวิต
       
       ในที่สุดก็มาถึงกลุ่มสุดท้าย พิธีกรเรียนเชิญ รศ. พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล นักวิชาการอิสระ และรศ. แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เจ้าของผลงาน "บ่ บั๊ด บ่ ย้ง ก้ง วัฒนธรรมไทยจีน : ไม่รู้ต้องแสวง"
       
       จากข้อมูลทั่วไประบุว่า จีนไหหลำอพยพมาจากเกาะไหหลำของจีน ชาวไหหลำจะมีเป็นจำนวนมากในไทยบริเวณ ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ และสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในเบื้องต้น รศ.พรเพ็ญ เริ่มต้นแสดงภาพเก่าแก่ของตระกูลของท่าน ที่เกาะไหหลำ ซึ่งสะท้อนความเป็นชาวจีนไหหลำผ่านสถาปัตยกรรมและพิธีกรรม
       
       "ศิลปะการสร้างบ้านของจีนไหหลำ มักจะมีกำแพงและมีประตูทางเข้า แต่ว่าประตูนอกกับประตูในจะเยื้องกัน ถือเป็นเรื่องฮวงจุ้ย มีศิลปะเป็นประตูโค้ง ทางเข้าไปในตัวบ้านมีภาพวาดสะท้อนความชื่นชอบทางด้านศิลปะ"
       
       "สาเหตุ ที่แต่ละบ้านประตูตรงกัน แล้วตั้งโต๊ะตรงกลาง เพราะเป็นบ้านญาติสนิทสกุลเดียวกันทั้งหมด ชาวจีนไหหลำจึงอยู่อาศัยกันเป็นครอบครัวใหญ่ เวลามีพิธีกรรม เช่นการไหว้พ่อแม่ มักจะมีการจุดประทัดภายในตัวอาคาร การออกแบบบ้านในลักษณะนี้จึงเอื้อต่อพิธีปฏิบัติอย่างมาก" รศ.พรเพ็ญกล่าว
       
       จากนั้น รศ.แสงอรุณได้พูดถึงสิ่งที่ชาวไหหลำนับถือ คือ "ไห่กง" ท่านเปาหน้าขาว นอกจากนั้นยังมีเจ้าที่ประจำถิ่นคือ "พกเด๊กกง" คนจีนไหหลำจะนำติดตัวเสมอ คือเอาความเชื่อนี้ไปด้วยเสมอ พก แปลว่าวาสนา ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างรูปปั้นเคารพที่บ้านบึง จังหวัดชลบุรี
       
       สิ่งที่ รศ.แสงอรุณเล่าให้ฟังก็คือการแสดงงิ้วของชาวจีนไหหลำ
       "ชาวไหหลำยังมีการแสดงงิ้วในพิธีกรรมที่สะท้อนความเชื่อด้านวิญญาณ จะเชื่อว่า "ติ้วกวั๊น" ภูตประจำโลงศพจะมาขัดขวางไม่ให้วิญญาณออกมาจากโลงศพ ต้องเผากระดาษเงินกระดาษทองติดสินบนให้วิญญาณออกมาได้ ดังเช่นพิธีเบิกโลงของคนไทยต้องมีคนตอบสามครั้งเพื่อไม่ให้วิญญาณอื่นมาจับ จองโลง นอกจากนั้นยังมีฉากพกเด๊กกง เจรจาต่อรองกับปีศาจ ต้องเผากระดาษเงินกระดาษทองแทบทั้งเรื่อง ท้าวเวสสุวรรณแต่งตัวออกมาพิพากษาความดีความชั่วของวิญญาณ เพื่อให้ลูกหลานสบายใจ และในตอนที่วิญญาณอำลาลูกหลาน จะสมมติให้วิญญาณขึ้นไปบนหอสูง มองอย่างอาลัยอาวรณ์ เป็นฉากที่น่าเศร้ามาก เป่าปี่สามครั้งวิญญาณต้องลาจาก"
       
       ความเชื่ออีกประการที่น่าสนใจที่ รศ.แสงอรุณได้หยิบยกขึ้นมาก็คือ มารดาเมื่อคลอดลูกทำให้ดินเปื้อนเลือดเป็นบาปหนัก ครั้นสิ้นชีวิตต้องแก้บาปด้วยการให้ลูกหลานทำพิธีชำระโลหิต จึงจะพ้นกรรม ถือว่าคลอดลูกเป็นบาป กงเต็กชาวจีนทุกภาษามีพิธีนี้ มีการพรรณาความทุกข์ของแม่ตั้งแต่ตั้งท้อง การกินน้ำแดงในพิธีกงเต็ก (น้ำจะแช่เปลือกอั่งขักจนรสฝาดเฝื่อนมาก) โดยอุปมาให้กินเลือดที่แม่ทำเปื้อนพื้นดิน เด็ก ๆ มักจะไม่เต็มใจ พี่ ๆ จะดื่มแทนน้อง "ดื่มทุกข์แทนแม่"
       
       "ต่อ มามีน้ำหวานมาแทน เด็ก ๆ แย่งกันดื่มอย่างมีความสุข ไม่มีอารมณ์สะเทือนใจว่าเรากำลังกลืนทุกข์แทนแม่ ทุกวันนี้ประเพณีดั้งเดิมก็เปลี่ยนไปบ้างแล้ว" รศ.แสงอรุณกล่าวปิดท้าย
       
       บทส่งท้าย: รู้จักจีนสยามไปทำไมกัน
       
       หลังจากการกล่าวถึงจีนแต่ละกลุ่มภาษาไปแล้ว ผู้จัดได้เรียนเชิญ อ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวรวบรัดประเด็นในวันนี้ ดร.วาสนากล่าวว่า
       
       "กลุ่มชาติพันธุ์จีนที่อยู่ในไทย ไม่ว่าจะเป็นจีนแคะหรือฮากกา จีนกวางตุ้ง จีนฮกเกี้ยน จีนแต้จิ๋ว และจีนไหหลำ นับเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังสามารถคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนและ วัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมหรือความเป็นไทยได้ อย่างกลมกลืน เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ สิ่งที่เรียกว่า "จิตสำนึกทางชาติพันธุ์" ซึ่งเป็นกลจักรทางความคิดอันสำคัญที่ทำให้อัตลักษณ์และความเป็นกลุ่ม ชาติพันธุ์ทั้งหลายยังดำรงอยู่ได้ ทั้งยังทำให้เราได้ตระหนักว่า อัตลักษณ์และความเป็นตัวตนของเรานั้น ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความเป็นชาติเช่นกัน"
       
       ดร.วาสนา พยายามเชื่อมโยงความเป็นจีนสยามให้เข้ากับตนเอง โดยการแสดงภาพต่าง ๆ ในพิธีกรรมความเป็นจีนที่เคยผ่านพบเมื่อวัยเด็ก กอปรกับการศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้ ดร.วาสนาเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาที่มาของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน ซึ่งมีประชากรที่หลากหลาย นับรวมกันแล้วมากที่สุดเป็นลำดับหนึ่งของโลก อีกทั้งยังกระจายตัวอยู่ทุกเขตแคว้นบนดาวเคราะห์ดวงนี้
       
       -----
       
       จีน สยาม 5 กลุ่มภาษายังมีลักษณะเฉพาะอีกหลายประการให้สืบค้นในทางวิชาการ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ การเสวนาครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นลักษณะเฉพาะ ที่มา ความเชื่อ พิธีกรรม และอัตลักษณ์ของจีนสยามในแต่ละกลุ่มภาษาอันเป็นการเปิดมิติให้มีการค้นคว้า ในระดับที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และนำมาซึ่งคุณูปการต่อวงการสังคมศาสตร์สืบไป

http://www2.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000141612

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2553 เวลา 12.00 - 16.00 น. ณ. ห้องศิลปาชีพ ชั้น 4 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก

องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง


ร่วมกับ


คณะรัฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง


ขอเชิญร่วมงานอภิปราย


“แผนปรองดองหรือนิรโทษกรรม

ความเหมือนที่แตกต่างในการแก้ไขปัญหาการเมืองไทย”



โดยวิทยากร
          1.  พลตรีสนั่น  ขจรประศาสน์         รองนายกรัฐมนตรี
          2.  คุณวิทยา  บุรณศิริ                         ประธานวิปฝ่ายค้าน
          3.  พลโทนันทเดช  เมฆสวัสดิ์                   อดีต  หัวหน้าปฏิบัติงานพิเศษ  ศรภ.
                  ดำเนินรายการโดย  ผศ.วุฒิศักดิ์  ลาภเจริญทรัพย์

ในวันจันทร์ที่  11  ตุลาคม  2553
เวลา  12.00 – 16.00 น.

ณ.  ห้องศิลปาชีพ  ชั้น  4  คณะรัฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก
สอบถามรายละเอียดหรือสำรองที่นั่ง  โทร.0-8977-0556-4


วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันที่ 21-25 มีนาคม 2554 ณ ห้อง 10201 อาคาร 10 ชั้น 2 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

วันที่ 21 มีนาคม 2554 พิธีเปิดงานประชุมวิชาการระดับชาติ UTCC Academic Week
และการอภิปรายทางวิชาการ
เวลา 9.00 – 12.00 น. ณ ห้อง 10201 อาคาร 10 ชั้น 2
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
วันที่ 22 – 25 มีนาคม 2554 1. การนำเสนอผลงานวิจัยและผลงานวิชาการของคณะต่างๆ
2. การสัมมนา อภิปรายทางวิชาการของคณะต่างๆ
เวลา 9.00 – 16.00 น. ณ ห้อง 10201 และห้อง Ex - MBA (1 - 3)
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
3. การจัดนิทรรศการแสดงผลงานวิชาการของคณะต่างๆ

 
ขอเชิญเสนอผลงานวิจัยเข้าร่วมการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ UTCC Academic Week

ด้วยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จะจัดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ UTCC Academic Week ประจำปี 2553 ระหว่างวันที่ 21-25 มีนาคม 2554


ทั้งนี้ จึงขอเชิญผู้สนใจเสนอผลงานวิจัยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยลงทะเบียนผ่านระบบได้ที่ http://utcc2.utcc.ac.th/academicweek/
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายวิชาการโทร. 0-2697-6897


ทุนโครงการ "การมีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยกับการปฏิรูปประเทศไทย ระยะที่ 1"


ประกาศ

ทุนโครงการ “การมีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยกับการปฏิรูปประเทศไทย ระยะที่ 1”
------------------------------------------------


แผนงานสร้างเสริมการเรียนรู้กับสถาบันอุดมศึกษาไทย เพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (PPSI) ภายใต้การสนับสนุนจากสานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีความประสงค์จะเชิญชวนสถาบันอุดมศึกษาเข้าร่วมโครงการ “การมีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยกับการปฏิรูปประเทศไทย ระยะที่ 1”

1. วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทย
2. เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศจัดกระบวนการจัดการความรู้บนพื้นฐานงานวิจัย และระดมความคิดเห็นจากภาคีภายนอกมหาวิทยาลัย เช่น องค์กรเอกชน องค์กรอิสระ หน่วยราชการ ผู้นาท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ร่วมกับเครือข่ายวิชาการในการระดมสมองเรื่อง “ปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปอะไร”
3. จัดทาข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรมในการปฏิรูปประเทศไทยในประเด็นต่างๆ

2. ตัวอย่างเนื้อหาประเด็นการปฏิรูปประเทศไทย

  • การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
  • การปฏิรูปการศึกษา
  • การปฏิรูปการกระจายรายได้
  • การปฏิรูปสวัสดิการสังคม
  • การปฏิรูปคุณภาพชีวิตเกษตรกร
  • การปฏิรูปการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การปฏิรูปโครงสร้างอานาจในสังคมให้สมดุล

3. ผลที่คาดว่าจะได้รับ

ได้ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมจากมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการทั้งข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และกลไกการจัดการเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย อันเป็นการแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ

4. กิจกรรมที่โครงการสนับสนุน

1. การเชิญวิทยากรมาแลกเปลี่ยนความรู้ หรือวิพากษ์ข้อเสนอเกี่ยวกับประเด็นการปฏิรูปประเทศไทย
2. การจัดประชุมระดมความคิดเห็น เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศไทย
3. การวิเคราะห์ และสังเคราะห์องค์ความรู้ภายในองค์กร เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะและกลไกการจัดการทางนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่เสนอเพื่อการปฏิรูป

5. รายละเอียดการรับสมัคร

1. มีประเด็นนโยบายระดับชาติหรือระดับพื้นที่ซึ่งสถาบันอุดมศึกษามีองค์ความรู้หรือได้ทา
การวิจัยมาแล้ว
2. เสนอรายละเอียดของประเด็นนโยบายปฏิรูปที่สนใจ ประกอบด้วยหลักการและเหตุผล วิธีการดาเนินการ สรุปเป็นข้อเสนอโครงการ (Proposal) ไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ A4 ต่อหนึ่งประเด็นนโยบาย
3. ส่งรายชื่อเอกสารอ้างอิงเกี่ยวกับประเด็นการปฏิรูปนั้น (ถ้ามี)
4. ข้อเสนอโครงการจะต้องเป็นข้อเสนอของสถาบันอุดมศึกษาหรือได้รับความเห็นชอบจากคณบดี หรืออธิการบดี

6. คุณสมบัติผู้สมัคร

อาจารย์ และหรือคณะที่เป็นหน่วยงานในสังกัดมหาวิทยาลัย

7. ระยะเวลารับสมัคร

รับสมัครโครงการระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ถึง 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

8. ระยะเวลาดาเนินโครงการ

6 เดือน นับจากวันที่ข้อเสนอโครงการได้รับความเห็นชอบ

9. งบประมาณดาเนินการ

งบประมาณสนับสนุน 50,000 บาท ต่อหนึ่งประเด็นนโยบาย แต่ละสถาบันอุดมศึกษาสามารถส่งประเด็นนโยบายได้ไม่เกิน 5 ประเด็นในรอบที่ 1

10. ผลงานที่ต้องส่งมอบ

ผู้ที่ได้รับทุนสนับสนุนจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของแผนงาน นสธ. และส่งมอบผลงาน ดังต่อไปนี้
1. รายงานสรุปข้อเสนอเชิงนโยบาย และกลไกการจัดการเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย สรุปเป็นประเด็นนโยบายที่จะเสนอไม่เกิน 4 หน้า
2. CD-Rom บันทึกข้อมูลผลการดาเนินงานของโครงการ ได้แก่ รายงานการประชุม บทความวิชาการที่ใช้ประกอบการประชุม รายงานความเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมฐานข้อมูล และอื่นๆ ที่เป็นผลการดาเนินงานของโครงการ

11. ผู้ประสานงานโครงการ

นายสกลฤทธิ์ จันทร์พุ่ม

ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติม และส่งข้อเสนอโครงการได้ที่:
นายสกลฤทธิ์ จันทร์พุ่ม
ที่อยู่: แผนงานสร้างเสริมการเรียนรู้กับสถาบันอุดมศึกษาไทย เพื่อพัฒนานโยบาย
สาธารณะที่ดี (นสธ.) 637/1 อาคารพร้อมพันธุ์ ชั้น 4 ยูนิต 4/2 ถ.ลาดพร้าว
แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
โทรศัพท์: 02-938-8826 โทรสาร: 02-938-8864
มือถือ: 085-136-3188
อีเมล: s.chanphum@gmail.com อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน เว็บไซต์: www.tuhpp.org