วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

: สร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมและคนที่คุณรัก







จาก: ธนภัทร ฟูมี <jaywin_joy@hotmail.com>
วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2554, 20:10
หัวเรื่อง: สร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมและคนที่คุณรัก
ถึง:

อ่านแล้วส่งต่อด้วยเผื่อปัญหาัสังคม 
เช่นนี้จะได้ไม่เกิดขึ้นอีก
นี่หรือที่เรียกว่ามนุษย์ผู้เรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐ แต่ทำตัวไม่ต่างกับสัตว์เดรฉาน 
สัตว์มันยังรักลูก รักพ่อ รักแม่ นี่คนแท้ๆ 





คุณ(กำลัง) มองข้ามคนที่รักคุณ? อ่านจิแล้วจะซึ้ง

..วันนี้เรามีเรื่องราวของคุณยายอายุเจ็ดสิบปี มาเล่าเป็นข้อคิดเตือนใจให้กับลูกๆ ทุกคนได้รับฟังกันค่ะ . . คุณยายท่านนี้ก็คือ คุณยายสง่า สังข์ทอง เป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คุณยายมีลูกชายและลูกสาวรวมกันทั้งหมดสี่คน เมื่อก่อนคุณยายก็ทะนุถนอมเลี้ยงลูกและฟูมฟักจนลูกเติบใหญ่ สามารถทำงานเลี้ยงชีพได้ หลังจากนั้นลูกๆ ของคุณยายต่างก็แยกย้ายไปมีครอบครัว 

ต่อมาคุณยายได้ประสบเหตุทำให้เดินไม่ได้ เวลาไปไหนมาไหนต้องใช้รถเข็นตลอด จึงต้องไปอาศัยอยู่กับลูกๆ ทั้งสี่สลับกันไปมา . . เมื่อแม่หาประโยชน์ให้(บรรดาลูกๆ ทั้ง 4) ไม่ได้ แถมมีแต่จะเป็นภาระให้ลูกๆ เช่นนี้จึงทำให้บรรดาลูก ๆ พยายามหาทางผลักไสให้ผู้เป็นแม่หนีไป ยายแกก็ไม่รู้จะไปไหน สุดท้ายมาขออาศัยลูกชาย ชื่อสุเทพ เมื่อมาพักที่นี่คุณยายก็ต้องเจอกับ คำเสียดสีและด่าทอของลูกสะใภ้ ต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินข้าวกับน้ำพริก(ทุกมื้อ) พร้อมกับเคล้าน้ำตาไป . . 

และแล้ว วันที่ 18 มีนาคม 2545 . . ลูกชายและลูกสะใภ้ก็ได้อุ้มคุณยายขึ้นรถแท็กซี่ แล้วนำไปทิ้งที่ซอยอ่อนนุช 46 พร้อมกับหมาหนึ่งตัวที่คุณยายแกเหลืออยู่ . .หลังจากนั้นก็มีคนมาเจอคุณยาย และนำคุณยายไปส่งที่สถานสงเคราะห์แห่งหนึ่ง . . วันนี้คุณยายแกไม่กล้ากลับไปอยู่กับลูกๆ อีกแล้ว เพราะกลัวถูกด่า และยายก็เอาแต่ร้องไห้ ได้แต่บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า “ถ้าลูกสำนึกผิดได้ แกก็พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ” 

เฮ้อ! อ่านเรื่องนี้แล้วเศร้าใจ ทำไม๊ทำไมคนไทยถึงใจโหดร้ายนัก ไม่อายฟ้าดินเลยหรือไง. .กล้าแม้กระทั่งพาไปแม่ทิ้ง . . นี่แหละที่เขาว่าแม่นั้นสามารถเลี้ยงลูกหลายคนได้ แต่ลูกหลายคนนั้นกลับเลี้ยงแม่คนเดียวไม่ได้ . .ทุกวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย เพราะเท่าที่สังเกต (รอบๆ ตัว) จะเห็นว่าหลายคน มุ่งมั่นที่จะทำงาน เก็บเงิน ซื้อรถเพื่อจะได้ขับไปทำงานอย่างสบาย อยากซื้อบ้าน เพราะต้องการแยกตัวออกจาก พ่อ แม่ อยากแต่งงานเพื่อที่จะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ทำงานหนัก เพื่อความฟุ่มเฟือย ของตนเองไม่ว่างานหนักแค่ไหนทนได้ .. แต่ไม่เคยทำงานบ้านเพราะอ้างว่าเหนื่อยมาก ... ทุกสิ่งในเนื้องานจำได้หมด แต่ไม่เคยจำได้ว่าพ่อแม่ชอบกินอะไร คุณพาคู่รักไปท่องเที่ยว หาอาหารอร่อย ๆ กินได้ทุกที่ แต่ไม่เคยแม้แต่ซื้อกับข้าวกลับบ้าน . . เฮ้ออออ 

วันนี้อยากให้ทุกคนหันกลับไปมองพ่อกับแม่บ้าง เพราะยังไงก็อย่าลืมว่าคนที่รักเรามากที่สุดในโลกก็คือท่าน ถึงแม้ว่าวันนี้ท่านจะไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดจากเรา แต่ยังไงเราผู้เป็นลูกก็ควรจะสำนึกบ้าง
ร่วมสำนึกดี กับโครงการ E-moral education   ....











วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เมื่อฉันไป โครงการ "อาสาเติมใจผู้ป่วย" ของเครือข่ายชีวิตสิกขา



จาก: Jivita Sikkha <jivitasikkha@gmail.com>
วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2554, 8:21
หัวเรื่อง:  เมื่อฉันไป โครงการ "อาสาเติมใจผู้ป่วย" ของเครือข่ายชีวิตสิกขา
ถึง:




---------- Forwarded message ----------
From: Tanawat Ketvimut <tanawatk@gmail.com>
Date: 2011/2/7
Subject: เมื่อฉันไป โครงการ "อาสาเติมใจผู้ป่วย" ของเครือข่ายชีวิตสิกขา
To:


 

เมื่อฉันไป โครงการ “อาสาเติมใจผู้ป่วย” ของเครือข่ายชีวิตสิกขา

โดย Lisa Eng ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2011 เวลา 20:34 น

                                                              

หากเราต้องนอนในโรงพยาบาล ไหนจะทุกข์ที่เกิดจากร่างกาย และยังพาลทำให้ใจหม่นหมอง  คงเป็นการดีไม่น้อย หากเราได้กำลังใจที่ดีๆ ที่อยู่ข้าง ๆ เตียงของเรา

 โครงการนี้ เป็นโครงการศิลปะการปักผ้าแนบชายผ้าเหลือง สำหรับใส่หนังสือสวดมนตร์และหนังสือธรรมะ เพื่อนำไปวางข้างเตียงผู้ป่วย  เพื่อให้กำลังใจในยามจิตหม่นหมองจากความไม่สบายของร่างกาย  ซึ่งอักษรที่ให้กำลังใจจะถูกถ่ายทอดผ่านจากอาสาสมัครที่เป็นจิตอาสา มาเติมกำลังใจให้กับผู้ป่วย

ฉันได้ไปโครงการนี้เพราะเพื่อนกัลยาณมิตรได้ส่งข้อความมาเมื่อตอนดึกให้ไปร่วมกิจกรรมข้างต้น  ซึ่งตัวเองเป็นคนที่ไม่ถนัดด้านเย็บปักถักร้อยเอาเสียเลย แต่ก็คิดว่า อาจจะช่วยด้านอื่นจึงตกลงใจไปร่วมด้วย

พอรุ่งเช้าขณะที่เตรียมตัวไปนั้น ก็ได้ทราบข่าวว่าคนที่เคยมีความรู้สึกที่ดีๆให้ต่อกัน กำลังจะแต่งงาน  ขณะนั้น จับความรู้สึกได้ว่ากำลังกระเทือน  และทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่ตัวเองเป็นฝ่ายที่เลือกเดินออกมา และถามตัวเองว่า นี่เรากำลังทุกข์หรือเปล่านี่...

 จากนั้น  ฉันรีบโทรตามเพื่อนๆ ให้มาร่วมทำบุญกัน เพื่อไม่ให้จมจ่อมอยู่กับความรู้สึกนี้  เมื่อมาถึงที่สถานที่จัดกิจกรรม ได้เห็นผู้คนมากหน้าหลายตา กำลังช่วยกันสรรสร้างศิลปะบนผืนผ้าอยู่  เนื่องจากตัวเองไม่ได้ถนัดด้านนี้อยู่แล้ว ช่วงแรกจึงทำได้เพียงแต่คอยร้อยด้ายเตรียมไว้ให้เพื่อนๆ  แต่เมื่อเห็นผู้อื่นทำได้ เราเองก็ควรทำได้  จึงขอให้เพื่อนๆ ช่วยสอนปัก

แล้วฉันก็เริ่มนำถุงผ้าขาว และชายผ้าเหลือง มาคิดพิจารณาว่า จะวางในรูปแบบใดดี จะสรรหาคำที่เป็นกำลังใจให้ผู้อื่นอย่างไรดี  จึงมองย้อนกลับมาที่ตัวเองว่า ตัวเองขณะนี้ ต้องการกำลังใจอย่างไรบ้าง  ก็ได้คำสั้นๆ ออกมาผ่านเส้นด้ายว่า เบิกบาน”  “สู้” และภาพคนกำลังยิ้มแทนตัวอักษร  จากนั้นก็เริ่มบรรจงปักอย่างตั้งใจ ขณะที่กำลังปัก ใจจดจ่อกับเข็มที่แทงขึ้นและลงสู่เนื้อผ้า เส้นด้ายที่ร้อยออกมาเป็นถ้อยคำสั้นๆ ที่ให้กำลังใจ มันทำให้ฉันคลายความรู้สึกที่หนักอึ้งออกไป เพราะจิตใจจดจ่อกับงานที่อยู่ตรงหน้า

แต่บางขณะที่ความคิดได้แล่นออกไปก็ทำให้ฉันต้องเจ็บตัวจากการโดนเข็มทิ่มนิ้วจนเลือดออก 2-3 ครั้งด้วยกัน ซึ่งทำให้ต้องหันมาอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าใหม่ ตั้งใจปักใหม่ ดูความเคลื่อนไหวของสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าอย่างมีสติ

 และเมื่อผลงานที่บรรจงสร้างให้ผู้อื่นเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน 4 ชิ้นงาน  ฉันก็ยิ้มน้อยๆ อย่างภูมิใจ ว่าตัวเองก็สามารถทำได้ แม้ว่าเป็นงานง่ายๆ แต่ก็ออกมาจากแรงบันดาลใจ ความตั้งใจ แต่สิ่งที่ตัวเองได้มองเห็นและตระหนัก คือ การทำงานเพื่อผู้อื่น การทำงานด้านศิลปะ หรือการมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และรายล้อมด้วยกัลยาณมิตรที่สอนงาน ให้กำลังใจข้างๆ ในขณะที่ได้ร่วมกิจกรรมนี้ ทำให้ฉันได้ดึงตัวเองออกมาจากความคิด การยึดติดต่าง ๆ

 แท้จริงแล้ว...กลับคิดได้ว่า โครงการอาสาเติมใจผู้ป่วยนี้  จริงๆแล้ว ตัวเองต่างหากที่เป็นผู้ป่วยในวันนี้ และได้รับการบำบัดจากกิจกรรม ซึ่งมาเติมใจให้หายป่วย (ใจ)

 ขอขอบคุณกิจกรรมในวันนี้ ..ขอบคุณเพื่อนๆ ..ขอบคุณผู้ป่วยที่ทำให้เราสร้างสรรค์งานค่ะ

   6 ก.พ.2554

"มาร่วมกันส่งความรักเติมกำลังใจผู้ป่วยด้วยกันทุกวันอาทิตย์ที่ ๑ ของเดือน ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส สวนโมกข์กรุงเทพฯ (ในสวนรถไฟ) ชั้น ๑ โถงกิจกรรม หลังโปรแกรมธรรมะในสวน ตักบาตรเดือนเกิด

 ๙.๐๐ น. บูชาพระรัตนตรัย รับศีล
๙.๓๐ น. ฟังธรรม 
๑๐.๓๐ น. ตักบาตรแบบสมัยพุทธกาล พระภิกษุ เลี้ยงพระเพล และ รับประทานอาหารร่วมกัน

(ดูรายละเอียดกิจกรรมต่าง ๆ ของหอจดหมายเหตุพุทธทาสได้ที่ www.bia.or.th)

ชีวิตสิกขาจะจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ในการทำศิลปภาวนา เติมใจผู้ป่วย ตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐-๑๕.๐๐ น.

เชิญชวนบริจาคเข็มรูใหญ่หรือที่ร้อยด้าย เพื่อใช้ในกิจกรรม และหนังสือสวดมนต์/หนังสือธรรมะ เล่มเล็กขนาดไม่เกิน A5 เพื่อใส่ในถุงผ้าและนำมอบให้ผู้ป่วยในโครงการคลินิกธรรมะ ที่โรงพบาบาลเด็กและโรงพยาบาลภูมิพล และโครงการอบรม "ธรรมะและโยคะเพื่อผู้ป่วย" ในเครือข่ายชีวิตสิกขา ได้ที่ : ครูดล

                                                               ธนวัชร์ เกตน์วิมุต
                                                               ชีวิตสิกขา : เครือข่ายเพื่อการเรียนรู้และเข้าใจชีวิต
                                                               159/70 ซ.วิภาวดีรังสิต 62 ถ.วิภาวดีรังสิต หลักสี่ กทม. 10210
                                                              

 

 

 



--
ดล
ธนวัชร์ เกตน์วิมุต

ชีวิตสิกขา : เครือข่ายเพื่อการเรียนรู้และเข้าใจชีวิต
www.jivit.net
159/70 ซ.วิภาวดีรังสิต 62 ถ.วิภาวดีรังสิต
หลักสี่ กทม. 10210
โทรศัพท์ 089-678-1669, 089-899-0094
แฟกซ์ 02-900-5429





--
http://jivit.net
ร่วมเป็นแฟนคลับกับชีวิตสิกขาลัย ในเครือข่ายชีวิตสิกขาได้ที่
http://www.facebook.com/pages/Jivita-Sikkhalay-Club/324767881811?v=wall

หนังสือยื่นคุณอภิสิทธิ และUN



จาก: lee lee <thai9lee@gmail.com>
วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2554, 20:56
หัวเรื่อง: หนังสือยื่นคุณอภิสิทธิ และUN
ถึง: 
 
เรียนทุกท่าน

ขอส่งหนังสือที่จะไปยื่นตามสถานที่ต่างๆ ตามแนบคะ
โปรดพิจารณาคะ
ขอบพระคุณคะ
กมลพรรณ




เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งหนังสือถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ข้อความดังต่อไปนี้

 

(คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ)
กระทรวงการต่างประเทศ
5 กุมภาพันธ์ 2554
ฯพณฯ
อ้างถึงหนังสือลงวันที่ 10 สิงหาคม 2553 จาก ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยถึง ฯพณฯ วิตาลี เซอร์กิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติสำหรับเดือนสิงหาคม 2553 ข้าพเจ้าขออธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชาในขณะนี้ ดังนี้

 

1.เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 15.20 น. ทหารกัมพูชาได้ยิงโจมตีที่ตั้งกำลังทหารไทยที่ภูมะเขือในดินแดนไทย โดยใช้อาวุธหนัก เช่น ปืนครก จรวดอาร์พีจี ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง ปืนใหญ่พิสัยไกล และจรวดหลายลำกล้อง และเมื่อเวลา 16.20 น. ของวันเดียวกัน ทหารกัมพูชาก็ได้ยิงโจมตีจากบริเวณปราสาทพระวิหารเข้าใส่ที่ตั้งกำลังทหารไทยที่ผามออีแองในดินแดนไทย โดยในระหว่างสองเหตุการณ์ดังกล่าว ทหารกัมพูชาได้ยิงกระสุนปืนใหญ่หลายนัดเข้ามายังหมู่บ้านภูมิซรอลในจังหวัดศรีสะเกษของไทย ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากพื้นที่ชายแดนประมาณ 5 กิโลเมตร เหตุการณ์ดังกล่าวดำเนินต่อเนื่องจนถึงเวลา 18.00 น.

 

2.เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 16.15 น. ทหารกัมพูชาได้โจมตีเข้าใส่ที่ตั้งกำลังทหารไทยในพื้นที่ภูมะเขือในดินแดนไทยอีกครั้งหนึ่ง ด้วยอาวุธหลายชนิด เช่น ปืนอาก้า AK-47 ปืนครก จรวดอาร์พีจี เครื่องยิงลูกระเบิด และปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลังโดยเหตุการณ์ดังกล่าวดำเนินต่อเนื่องจนถึงเวลา 07.45 น.

 

3.การโจมตีข้างต้น ซึ่งได้ดำเนินการอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นพลเรือนไทย 1 คน และทหารไทย 1 นาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นทหารไทย 13 นาย สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนไทย และทำให้ต้องมีการอพยพของประชาชนไทยที่อาศัยบริเวณชายแดนจำนวนมากกว่า 6,000 คน

 

4.การโจมตีข้างต้นโดยทหารกัมพูชาเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยแม้ว่าประเทศไทยจะใช้ความอดกลั้นอย่างที่สุดมาโดยตลอด แต่ทหารไทยก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะต้องใช้สิทธิโดยชอบในการป้องกันตนเองตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ การใช้สิทธิในการป้องกันตนเองดังกล่าว ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็น อย่างพอเหมาะพอควร และมุ่งเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยเฉพาะจุดที่กำลังทหารกัมพูชาได้โจมตีออกมา

 

5.ในการนี้ ประเทศไทยขอแถลงท่าทีของตน ดังนี้

5.1 ประเทศไทยขอประท้วงอย่างรุนแรงที่สุดต่อการโจมตีด้วยกำลังอาวุธของฝ่ายกัมพูชาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และโดยไม่ได้มีเหตุยั่วยุ ซึ่งเป็นการรุกรานและเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดนไทยอย่างชัดเจน

5.2 ประเทศไทยยึดมั่นอย่างเคร่งครัดในวัตถุประสงค์และหลักการของสหประชาชาติรวมทั้งพัฒนากรณีของตนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ประเทศไทยขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ในกรณีปราสาทพระวิหารอย่างเต็มที่ ประเทศไทยมีความเชื่อมั่นว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างใดๆ ระหว่างประเทศทั้งสอง จะสามารถระงับได้โดยสันติวิธี ซึ่งสอดคล้องกับความเข้าใจร่วมกันและความประสงค์ของผู้นำทั้งไทยและกัมพูชา

5.3 ประเทศไทยยืนยันความมุ่งมั่นที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดและโดยสุจริตกับกัมพูชาภายใต้กลไกทวิภาคีต่างๆ ที่มีอยู่ อาทิ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) และคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา (เจซี) เพื่อผลักดันความร่วมมือให้คืบหน้าและดำเนินการให้มีการแก้ไขความแตกต่างระหว่างประเทศทั้งสองโดยสันติวิธี เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนไทยและกัมพูชา และครอบครัวอาเซียน

 

6.ทั้งสองประเทศต่างก็มุ่งที่จะจัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ในโอกาสแรก ตามที่ได้ตกลงกันไว้ระหว่างการประชุมเจซีไทย-กัมพูชา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายได้เป็นประธานร่วมในการประชุมดังกล่าวที่จังหวัดเสียมราฐ กัมพูชา ในช่วงเช้าของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการหารือกับฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับวันที่จะจัดการประชุมเจชีซี ครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในประเทศไทยในโอกาสแรก

 

7.ในขณะนี้ ช่องทางการติดต่อในระดับทวิภาคีทุกช่องทางยังเปิดกว้างอยู่ และเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศยังคงหารือกันอย่างใกล้ชิด

 

ข้าพเจ้าขอความอนุเคราะห์ ฯพณฯ ในการเวียนหนังสือฉบับนี้ไปยังสมาชิกทั้งหมดของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อทราบด้วย

 

ข้าพเจ้าขอแสดงความนับถืออย่างยิ่งมายัง ฯพณฯ
นายกษิต ภิรมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
แห่งราชอาณาจักรไทย




วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 14.00 - 17.00 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ มิวเซียมสยาม ฟรี!!

งานเสวนาเรื่อง "สังคมรักๆ ใคร่ๆ"

วันที่: 
 14 กุมภาพันธ์ 2554
สถานที่: 
 อาคารอเนกประสงค์ มิวเซียมสยาม

มิวเซียมสยาม ขอเชิญร่วมงานเสวนาเรื่อง "สังคมรักๆ ใคร่ๆ" ร่วมพูดคุยประเด็นเรื่องวันวาเลนไทน์ซึ่งเป็นวันที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสำคัญเกี่ยวกับความรักใคร่ ซึ่งในสังคมไทยก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน อาจมีทั้งส่วนที่เป็นทางบวกบ้างทางลบบ้าง ดังนั้น การจัดการเสวนาประเด็นทางสังคมเช่นนี้จะก่อให้เกิดการตระหนักรู้และอาจจะนำความคิดเห็นบางประการไปปรับใช้กับการเรียนรู้หรือการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ร่วมเสวนาโดย รศ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา คุณนิวัต กองเพียร คุณลักขณา ปันวิชัย (คำ ผกา)

พบกับงานเสวนาเรื่อง “สังคมรักๆ ใคร่ๆ” วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 14.00 - 17.00 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ มิวเซียมสยาม ฟรี!!

สำรองที่นั่งและสอบถามรายละเอียดได้ที่: 02-225-2777 ต่อ 403, 407 (จันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.30 - 17.30 น.)



วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นโยบายขายไข่เป็นกิโลกรัม รัฐบาลได้ใช้งบประมาณในการว่าจ้างเอกชนกว่า 70 ล้านบาท

1 ก.พ. 54 - ส.ว.เรืองไกร ชี้ นโยบายขายไข่ชั่งกิโล ส่อขัดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี หลังพบข้อพิรุธ ทั้งเรื่องวงเงินและผู้ลงนามในสัญญาจ้างบริษัทที่ปรึกษาฯ พร้อมจี้รัฐบาลเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวหารือต่อที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวานนี้ ( 31ม.ค.54) ถึง กรณีรัฐบาลมีนโยบายขายไข่เป็นกิโลกรัมว่า มาตรการดังกล่าวทำให้ผู้ค้าไม่พอใจ และที่สำคัญที่มาของนโยบายมาจากที่ปรึกษาเอกชนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ตัดสินใจเลือก ซึ่งรัฐบาลได้ใช้งบประมาณในการว่าจ้างเอกชนกว่า 70 ล้านบาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 4 งวด งวดที่ 1 และ 2 จ่ายเงินงวดละ 14 ล้านบาท งวดที่ 3-4 จ่ายเงินงวดละ 21 ล้านบาท
นายเรืองไกร กล่าวต่อไปว่า เอกสารที่รัฐบาลแจ้งมายังอนุกรรมาธิการติดตามการใช้งบประมาณฯ วุฒิสภา ที่ยืนยันว่ายังไม่ได้จ่ายเงินนั้น จะส่งผลให้บริษัทที่ปรึกษาดังกล่าวยังไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ แต่จากผลการตรวจสอบกลับพบว่า มีการขออนุมัติคณะรัฐมนตรีโดยอ้างว่าเป็นโครงการจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งตีความได้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแจ้งไปยังคณะรัฐมนตรีแล้ว ตนจึงขอตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีรับทราบเรื่องนี้เหตุใดจึงไม่มีข้อสงสัยว่า การจ้างจะขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุหรือไม่ ทั้งเรื่องวงเงินและผู้ลงนามในสัญญาซึ่งเป็นผู้บริหารระดับผู้อำนวยการ ตนจึงขอฝากให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย






เรณู เขมาปัญญา /ข่าว
มันทนา ศรีเพ็ญประภา/เรียบเรียง

http://www.radioparliament.net/news1/news.php?id_view=1366



หลังประกาศใช้ พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กว่า 3 ปี ไม่มีกฎกระทรวงฉบับใดประกาศใช้

31 ม.ค. 54 - ส.ว.มณเฑียร เผย หลังประกาศใช้ พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กว่า 3 ปี ยังไม่มีกระทรวงใดออกกฎกระทรวงที่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ พร้อมจี้ กระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น

นายมณเฑียร บุญตัน สมาชิกวุฒิสภา หารือต่อที่ประชุมวุฒิสภาว่า ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ด้วยการให้กระทรวงต่างๆ ออกกฎกระทรวงที่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ อาทิ การกำหนดสัดส่วนการจ้างงานคนพิการ 1 ต่อ 100 รวมถึงการจัดทำเว็ปไซต์ที่คนพิการสามารถเข้าถึงได้ง่าย 
ส.ว.มณเฑียร กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งถือได้ว่าเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้าที่สุดในเอเซีย มาแล้วกว่า 3 ปี แต่กลับยังไม่มีกฎกระทรวงฉบับใดประกาศใช้ ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวยังไม่เป็นรูปธรรม

ไพลิน พรายพรรณ / ข่าว
วิจิตรา น้าวัฒนาไพบูลย์ / เรียบเรียง

http://www.radioparliament.net/news1/news.php?id_view=1359