Google+ makes sharing on the web more like sharing in real life.
|
You received this message because Suwimol Ch invited ablog1951.day1@blogger.com to join Google+. Unsubscribe from these emails. |
ติดต่อ คุณอัจฉรา 086-6282817 หรือร่วมบริจาค ธ.กรุงไทย เลขบัญชี 031-0-03432-9 หรือ ธ.กรุงเทพ เลขบัญชี 145-5-24762-5 ชื่อบัญชีสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน ต้องใช้จ่าย เดือนละ 1 แสนบาท โดยเป็นค่าใช้จ่าย ใน 3 โครงการ ที่ดูแล คนเร่ร่อนไร้บ้าน...พนักงานบริการ ...เด็กและเยาวชนในชนบทกลุ่มต่าง ๆ /"ความสำเร็จประกอบด้วยความผิดพลั้งหลายๆ ครั้งมารวมกันโดยที่ความกระตือรือร้นที่หวังจะพบกับชัยชนะนั้นยังคงอยู่" (วินสตัน เชอร์ชิลล์).
Google+ makes sharing on the web more like sharing in real life.
|
You received this message because Suwimol Ch invited ablog1951.day1@blogger.com to join Google+. Unsubscribe from these emails. |
สุดทึ่ง "หลวงตา" เจ้าอาวาสวัดประตูเขียน อายุกว่า 90 ปี เข้ารับ ป.ตรี สาขาวิชาพระพุทธศาสนา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ เผยตั้งใจจะเรียนเพื่อนำไปสอนลูกหลาน พร้อมทั้งยืนยันหากตั้งใจจะเรียนแล้ว อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ...
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 13 พ.ค. ที่อาคารหอประชุม มวก 48 พรรษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานในพิธีประสาทปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต รุ่นที่ 57 พุทธศาสตรมหาบัณฑิต รุ่นที่ 22 และพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต รุ่นที่ 8 โดยมีพระนิสิต และฆราวาสเข้ารับปริญญารวมทั้งสิ้น 3,678 ราย
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในจำนวนผู้ที่เข้ารับปริญญาบัตรครั้งนี้ มีพระสงฆ์ที่มีอายุสูงถึง 90 ปี 1 เดือน ที่มุมานะเรียนจนจบระดับปริญญาตรี สาขาวิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์ เข้ารับปริญญาในครั้งนี้ด้วย ซึ่งจากการตรวจสอบรายชื่อพระสงฆ์ที่เข้ารับปริญญาในครั้งนี้กับทาง มจร.ทราบว่าพระสงฆ์รูปดังกล่าวมีชื่อว่า พระครูถาวรสังฆโสภณ สุวณฺโณ (ดวงสุวรรณ) เจ้าอาวาสวัดประตูเขียน หมู่ 5 ต.ม่วงงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา
ภายหลังเข้ารับปริญญาจากสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์แล้ว พระครูถาวรสังฆโสภณ ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงก่อนที่จะเข้ามาบวชเคยเรียนอยู่ที่ ร.ร.ช่างกลรถไฟ ที่ จ.สงขลา เรียนได้แค่ประมาณ 1 ปี ก็ออกจากโรงเรียนและตัดสินใจเข้ามาบวชที่วัดประตูเขียน ตอนอายุประมาณ 40 ปี อยู่ที่วัดประตูเขียนประมาณ 30 ปี ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส โดยเป็นเจ้าอาวาสมาแล้วกว่า 20 ปี และเห็นว่าทาง มจร.เปิดโอกาสให้พระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสได้มีโอกาสเรียนจนจบปริญญาตรี จึงสมัครเข้าเรียนหลักสูตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของทางมหาวิทยาลัยก่อน เพื่อให้ได้วุฒิการศึกษาระดับ ม.6 จากนั้นจึงได้สมัครเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ที่ มจร.วิทยาเขตนครศรีธรรมราช ในสาขาวิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์ จนกระทั่งจบการศึกษาและได้เข้ารับปริญญาตรีในปี 2555 นี้
พระครูถาวรสังฆโสภณ กล่าวต่อว่า การสมัครเข้าเรียนที่ มจร.นั้น เพราะเห็นว่าตนเองยังไม่มีความรู้ จึงอยากที่จะมีความรู้ไว้สอนลูกหลาน อีกทั้งเห็นว่าการที่มีปริญญายังถือว่าเป็นเรื่องที่ดีด้วย โดยในช่วงที่เรียน มจร.อยู่นั้น ไม่เคยขาดเรียนเลย นอกจากจะมีอาการอาพาธจนเดินทางไปเรียนไม่ได้เท่านั้นจึงจะขอลาไม่ได้ไปเรียน ซึ่งสาเหตุที่เข้าเรียนในสาขาวิชาพระพุทธศาสนานั้นเพราะต้องการนำไปใช้ในการ เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป ทั้งนี้ การเรียนหนังสือนั้นอายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากตั้งใจที่จะเรียนแล้ว เรื่องอายุก็ไม่ใช่ปัญหา
ด้านนายสมหมาย สุภาษิต รอง ผอ.สำนักงานบริหารสำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม (ฝ่ายประชาสัมพันธ์) มจร.กล่าวว่า จากการตรวจสอบทำเนียบรายชื่อพระนิสิตที่เคยเข้ารับปริญญากับทาง มจร.แล้ว พบว่าพระครูถาวรสังฆโสภณ เป็นพระนิสิตที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ทาง มจร.เคยมีมา โดยพระครูถาวรสังฆโสภณมีอายุในขณะที่เข้ารับปริญญาสูงถึง 90 ปี กับอีก 1 เดือน.
โดย: ทีมข่าวการศึกษา
14 พฤษภาคม 2555, 00:32 น.
ศูนย์วิจัยโรคสมองเสื่อม มหาวิทยาลัยรัชของสหรัฐฯ ได้บอกแนะนำว่า ถ้าหากหวาดหวั่นกับโรคสมองเสื่อม ก็ควรจะตั้งเป้าหมายที่มั่นคงในชีวิตเอาไว้
นักวิจัยของศูนย์กล่าวว่า การมีเป้าหมายในชีวิต จะช่วยปัดเป่าสมองไม่ให้เสียหาย ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมขึ้นได้
หัวหน้านักวิจัยกล่าวว่า ได้พบในการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีเป้าหมายในชีวิต ถึงแม้จะตรวจพบว่ามีคราบในสมองขึ้นแล้ว ก็ยังแสดงการรับรู้การเข้าใจมากกว่าผู้ที่ขาดวัตถุประสงค์ของชีวิต ส่อให้รู้ว่า การมีความมุ่งหมายในชีวิต อาจช่วยคุ้มครองความจำและการใช้ความคิดให้พ้นจากพิษภัยของคราบในสมองได้
การเกิดคราบในสมอง เป็นอาการทั่วไปของผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อม ซึ่งบ่อนทำลายความจำและการใช้ความคิดอ่าน.
โดย: ทีมข่าวการศึกษา
14 พฤษภาคม 2555, 08:00 น.
นักโบราณคดีพบหลักฐานใหม่ที่ระบุว่า ชนเผ่ามายา คำนวณเวลาไปไกลเกินปี 2012 ในห้องขนาดเล็กที่เพิ่งพบใหม่ ของโบราณสถานในกัวเตมาลา...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 11 พ.ค. ว่า ทีมนักโบราณคดี ขุดพบห้องขนาดเล็ก ภายในโบราณสถานของชนเผ่ามายา โดยภายในพวกเขาพบหลักฐานทางดาราศาษสตร์วิทยา ของชนเผ่ามายาในอดีต รวมถึงภาพเขียนบนกำแพงต่างกระดานดำ ที่บันทึกการศึกษาดาราศาสตร์ และการคำนวณเวลาด้วยดวงดาวด้วย
สิ่งที่พบบนกำแพงมีอายุประมาณ 1,200 ปีก่อน ถือเป็นจารึกทางดาราศาสตร์องชนเผ่ามายา ที่มีความเก่าแก่ที่สุดที่เคยพบ เพราะที่ผ่านมาตัวอย่างที่เก่าแก่ที่สุด มีอายุประมาณ 800 ปีเท่านั้น และบันทึกดาราศาสตร์ของเผ่ามายัน มีความสำคัญอย่างมาก ในการตีความปฏิทินมายัน ที่เชื่อกันว่าจะสิ้นสุดลงในปี 2012 จนมีกระแสหวั่นวิตกว่า จะเป็นจุดจบของโลก
แต่หลักฐานการคำนวณเวลาด้วยดวงจันทร์ที่พบบนกำแพง พบว่า เผ่ามายาคำนวณเวลาไปอีก 935 - 6,700 ปีข้างหน้า แม้จะไม่ทราบว่าเริ่มคำนวณในปีใด แต่คำนวณแล้วผลลัพธ์ก็น่าจะเกินปี 2012 ไปมาก ซึ่ง ดร. แอนโธนี อาเวนี จากมหาวิทยาลัยแฮมิลตัน ตั้งข้อสังเกตว่า หากโลกจะแตกในปี 2012 จริง ทำไมจึงต้องคำนวณเวลาเกินไปจากปี 2012 นั่นแสดงให้เห็นว่า เวลายังคงดำเนินต่อไป
ทั้งนี้ ห้องดังกล่าวถูกพบที่โบราณสถานขนายใหญ่ของชนเผ่ามายา ในป่าฝนของเขตขุดค้นซุลตัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองตีกัล เมืองโบราณของเผ่ามายา ในเขตเอลเปเตน ประเทศกัวเตมาลา และนอกจากนี้ ยังพบปฏิทินสุริยคติ รวมถึงปฏิทินตามการเคลื่อนที่ของดาวอังคารและดาวศุกร์ด้วย
โดย: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
11 พฤษภาคม 2555, 04:50 น.
เป็นบ้านจัดสรรคาดฝนตกหนักดินสไลด์ลงนํ้าผวาลามที่อาศัย
เมืองคอนระทึกแผ่นดินทรุด ถนนหมู่บ้านจัดสรรกว้าง 8 เมตร เกิดยุบตัวลึกเกือบ 2 เมตร เป็นระยะทางยาวถึง 100 เมตร ชาวบ้าน 40 หลังคาเรือน พากันแตกตื่นจนนอนไม่หลับ กลัวตึกแถวและทาวน์เฮาส์ที่ปลูกเรียงรายติดถนนจะพังถล่ม แถมเดือดร้อนหนัก ท่อประปาแตก ทำให้ไม่มีน้ำใช้ รถก็นำออกจากบ้านไม่ได้ รองนายกเทศมนตรีฯ นำวิศวกรไปตรวจสอบชี้สาเหตุ เพราะฝนตกหนัก ประกอบกับหมู่บ้านอยู่ติดคลองระบายน้ำลงทะเล ทำให้ดินเกิดทรุดตัว หวั่นหากฝนตกซ้ำบ้านอาจพังลงมา สั่งเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง พร้อมประสานผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาตรวจสอบให้แน่ชัด
ชาวบ้านแตกตื่นถนนในหมู่บ้านจัดสรรเกิดยุบตัวลึกเกือบ 2 เมตรเป็นระยะทางยาวกว่า 100 เมตรครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 13 พ.ค. นายสุจินต์ พิมเสน รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครศรีธรรมราช รักษาการนายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครศรีธรรมราช เดินทางไปที่หมู่บ้านชลวิจิตร ซอยชลวิจิตร ถนนพัฒนาการคูขวาง ต.คลัง อ.เมืองนครศรีธรรมราช หลังรับแจ้งว่าเกิดเหตุถนนภายในหมู่บ้านยุบตัวเป็นทางยาว ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน
เมื่อไปถึงพบหมู่บ้านดังกล่าวเป็นหมู่บ้าน จัดสรรรวม 40 หลังคาเรือน ลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์และทาวน์เฮาส์ปลูกเรียงรายอยู่ฝั่งซ้ายของถนนซึ่งเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหน้ากว้าง 8 เมตร ส่วนอีกฝั่งเป็นกำแพงติดกับคลองหน้าเมือง ถนนที่เกิดการยุบตัวอยู่ห่างจากปากทางเข้าไปราว 100 เมตร พบพื้นถนนมีรอยแตกแยก และยุบลงไปเป็นระยะทางประมาณ 100 เมตร ลึกกว่า 1 เมตร บางจุดดินยุบเกือบ 2 เมตรและอยู่ติดรั้วบ้าน โดยมีเจ้าของบ้านแต่ละหลังตื่นออกมาดูเหตุการณ์ด้วยอาการตกใจ หลายคนไม่ยอมนอนเพราะกลัวดินจะยุบตัวไปถึงตัวบ้าน ขณะที่รถทุกชนิดก็ไม่สามารถสัญจรไปมาได้
พ.ต.ท.กรกช ชุมศรี พนักงานสอบสวน (สบ 3) สภ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าวและได้รับความเดือดร้อนจากถนนหน้าบ้านยุบตัว เล่าเหตุการณ์ว่า ขณะนอนหลับช่วงประมาณตีสองได้ยินเสียงดังครืน จึงรีบลงมาดูพบพื้นคอนกรีตถนนแตกแยก จากนั้นถนนและดินค่อยๆยุบตัวลงเรื่อยๆ ทำให้ชาวบ้านพากันแตกตื่นร้องตะโกนโหวกเหวกด้วยความกลัว ยอมรับว่าตนและชาวบ้านตกใจมากเพราะไม่เคยพบเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน กลัวดินยุบเพิ่มจนบ้านพัง ตอนนี้ทุกคนเดือดร้อนมากเพราะรถที่จอดอยู่ในบ้านไม่สามารถนำออกจากบ้านได้
ด้านนางจินตนา ซ้ายเกลี้ยง อายุ 50 ปี ข้าราชการครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง กล่าวว่า เดือดร้อนมาก ปกติเช้าวันที่ 13 พ.ค. ทางโรงเรียนมีกิจกรรมนำนักเรียนไปเข้าค่าย แต่ตนไปร่วมไม่ได้ เพราะรถออกจากบ้านไม่ได้ ต้องนั่งเฝ้าบ้านไปโดยปริยาย ตอนนี้ชาวบ้าน ที่มีอยู่ 40 ครอบครัว เดือดร้อนเพราะท่อประปาที่ฝั่งอยู่ใต้ถนนขาด ทำให้ไม่มีน้ำใช้ วอนผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเทศบาลนครนครศรีธรรมราช และจังหวัดเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านโดยด่วน
ต่อมาช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายวงศ์วชิร โอวรารินทร์ รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ที่ดูแลงานด้านวิศวกรรมและผังเมืองได้นำเจ้าหน้าที่วิศวกรโยธาไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุของดินยุบตัว จากการตรวจสอบพบว่าดินเกิดการทรุดตัวลงมาอย่างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะอาคารพาณิชย์และทาวน์เฮาส์ที่เสี่ยงจะพังทลายเสียหาย เพราะหากเกิดฝนตกลงมาดินอาจทรุดตัวไปมากกว่านี้
นายวงศ์วชิรเปิดเผยภายหลังว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของเทศบาลได้ตรวจสอบหาสาเหตุที่ดินทรุดตัวคาดว่าน่าจะมาจากปริมาณฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง เพราะระยะนี้มีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างมากซึมลงสู่ใต้ดินบริเวณดังกล่าว ซึ่งชั้นใต้ดินเป็นดินร่วนปนทราย บางจุดเป็นดินลูกรังปนทราย นับว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ดินทรุดตัว นอกจากนี้ด้านข้างหมู่บ้านตรงกำแพงก็อยู่ติดคลองหน้าเมือง ซึ่งเป็นคลองหลักที่ระบายน้ำลงสู่ทะเลอ่าวไทยที่ปากอ่าว ต.ปากนคร อ.เมืองนครศรีธรรมราช คลองแห่งนี้มีปัญหาเรื่องดินถูกกัดเซาะมาตลอด
รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครศรีธรรม-ราช กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เทศบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ประสานไปยังผู้เชี่ยวชาญสำนักงานทรัพยากรธรณีจังหวัดมาตรวจสอบ แต่ติดปัญหาเป็นวันหยุดทำงาน ที่สำคัญสำนักงานทรัพยากรธรณีจังหวัดมีเพียงนักวิชาการ แต่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา จึงต้องรอเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรธรณีวิทยามาตรวจสอบหาสาเหตุที่แน่ชัด ขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของเทศบาลร่วมกับชาวบ้านในหมู่บ้านเฝ้าระวัง หากมีดินทรุดเพิ่มจะได้ให้ความช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที
โดย: ทีมข่าวหน้า 1
14 พฤษภาคม 2555, 09:00 น.
| แก๊งโจรปาอึ!!! คอลัมน์ เกร็ดต่างแดน มติชน 6 พ.ค. 2555 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336289380&grpid=03&catid=03&subcatid=0305 |
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำยินดีต้อนรับ
อักษรลาวสีแดงตัวโต คล้ายคำกล่าวต้อนรับของเจ้าของประเทศ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้อยู่ในมือของนักธุรกิจจีนกลุ่ม "ดอกงิ้วคำ" เข้ามาเช่าพื้นที่ระยะยาว
ในอาณาบริเวณมีทั้งตลาด พื้นที่เพาะปลูก โรงงานแปรรูปพืชผลการเกษตร และที่สำคัญมีบ่อนกาสิโนขนาดใหญ่ชื่อ "คิงส์โรมันส์" รองรับนักพนันจากทั่วโลก กลุ่มธุรกิจนี้ย้ายฐานมาจากฮ่องกง มาเช่าพื้นที่ลาว ณ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 ระยะเช่ายาวนานถึง 99 ปี
ไฉนลาวอนุมัติให้จีนเช่า คำตอบคือลาวต้องการให้เป็นเขตเศรษฐกิจทางการค้า และบริการอย่างครบวงจรเพื่อรองรับความร่วมมือภายใต้ข้อตกลงว่าด้วย เขตการค้าเสรี (Free Trade Area—FTA) ระหว่างจีนกับอาเซียน และรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
โดย: ไทยรัฐฉบับพิมพ์
1 พฤษภาคม 2555, 05:00 น.
งาน 60 ปี ไทยโทรทัศน์ และ 35 ปี อสมท ครบรอบไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา โดยมีนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปร่วมพิธีอย่างอลังการ มีเรื่องน่าสนใจและการเปลี่ยนแปลงในวงการโทรทัศน์บ้านเราอย่างมาก!!
การเปลี่ยนแปลงภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ ภายใต้การคุมบังเหียนของ "จักรพันธุ์ ยมจินดา" รักษาการ ผอ.อสมท
กว่าจะมาเป็น อสมท ในปัจจุบัน ไทยโทรทัศน์ก็คือต้นกำเนิดสถานีโทรทัศน์แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ไทยโทรทัศน์จดทะเบียนตั้งเป็นบริษัทเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2495 หรือเมื่อ 60 ปีที่แล้ว
ต่อมาได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท) เมื่อ พ.ศ.2520 ไทยโทรทัศน์จึงกลายมาเป็น อสมท และเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2547 ก็ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้แนวคิด "สังคมอุดมปัญญา"
60 ปี ไทยโทรทัศน์ และ 35 ปี อสมท กำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้าน "ข่าว" ในทุกมิติของสำนักข่าวไทยและช่อง 9 โมเดิร์นไนน์
การเปิดตัวปฏิบัติการข่าว "MCOT Bird's Eye News" โดยทีมข่าวระดับมือ อาชีพของสำนักข่าวไทย คือมิติใหม่ที่ยืนยันว่า อสมท พร้อมสู้ทุกรูปแบบ!!
รายงานข่าวทางอากาศด้วยมุมมองอันกว้างไกล ก้าวลึก ทันสมัย น่าจะเป็นการต่อสู้ที่เข้มข้น โดยทุกรายละเอียดจะส่งผ่านมายังภาคพื้นดิน (ห้องส่ง) เชื่อมต่อกับวีดิโอวอลความยาว 20 เมตร
ด้วยจอภาพใหญ่สุดในประเทศไทย และเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของโลก!!
มันคือกระบวนการผลิตและการปฏิบัติ การด้านข่าวอันทันสมัย สู่ปรากฏการณ์ตื่นตา ตื่นใจ!!
บอกเป็นนัยว่า อสมท กำลังจะตอกย้ำ ถึงความเป็นผู้นำองค์กรธุรกิจสื่อสารมวลชนชนิดครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนตลอดกาล
ผมมักพูดเสมอว่า...ข่าวคือความน่าเชื่อถือที่คนข่าว อสมท ผ่านถ่ายรุ่นสู่รุ่นมายาวนาน แต่ถูกฉีกหนีเพราะถูกวังวน "แดนสนธยา" ครอบงำในห้วง 5-6 ปีที่ผ่านมา???
"จักรพันธุ์ ยมจินดา" กำลังปลุกจิตวิญญาณคนข่าว อสมท ให้แสดงศักยภาพความสามารถ เพื่อกลับมาทวงบัลลังก์ข่าว
ข่าวที่แม่นยำน่าเชื่อถือ...ข่าวที่น่าศรัทธาเพื่อประชาชน!!
"แจ๋วริมจอ"
โดย: แจ๋วริมจอ
30 เมษายน 2555, 05:00 น.
๑๘ เมษายน ๒๕๕๕, นักวิจัยเรื่องความพึงพอใจทางเพศพบว่า การออกกำลังกายในบางท่วงท่าสามารถทำให้ผู้หญิงบรรลุถึงจุดสุดยอดได้ ซึ่งผู้หญิงบางคนถึงจุดสุดยอดขณะยกน้ำหนัก บางคนขณะปั่นจักรยาน แต่ท่าที่ได้ผลที่สุดคือ การออกกำลังกายหน้าท้องโดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า "เก้าอี้กัปตัน"
ผู้เล่นจะอยู่ในท่ายืน วางแขนลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ ซึ่งได้จัดปรับมุมเอียงอย่างเหมาะสมกับร่างกาย จากนั้นผู้เล่นก็เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพื่อยกเข่าขึ้นไปหาหน้าอก แล้วค่อยๆ ลดเท้าลงยืนกับพื้นตามเดิม
นักวิจัยพบว่า การออกกำลังกายหลายชนิดช่วยให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดได้โดยไม่ได้คิดเรื่องเซ็กซ์อยู่ในหัวในเวลานั้นเลย เช่น การออกกำลังกายหน้าท้อง (ร้อยละ ๕๑.๔), ยกน้ำหนัก (ร้อยละ ๒๖.๕), โยคะ (ร้อยละ ๒๐), ถีบจักรยาน (ร้อยละ ๑๕.๘), วิ่ง (ร้อยละ ๑๓.๒) และ เดิน/เดินป่า (ร้อยละ ๙.๖)
เด็บบีย์ เฮิร์บนิค หัวหน้าทีมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยอินดีแอนาบอกว่า งานวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจผู้หญิงหลายร้อยคนอายุตั้งแต่ ๑๘-๖๓ ปี ซึ่งเผยว่าพวกเธอได้ถึงจุดสุดยอดเพราะการออกกำลังกาย หรือเกิดความรู้สึกพึงพอใจทางเพศ
เกือบครึ่งของผู้หญิงที่สำรวจได้เกิดอาการเหล่านี้กว่า ๑๐ ครั้งขึ้นไป โดยการออกกำลังกายหน้าท้องเป็นท่าที่ทำให้ถึงจุดสุดยอดได้มากกว่าท่าอื่นๆ
ท่าออกกำลังกายหน้าท้องอีกท่าหนึ่งซึ่งทำให้บรรลุจุดสุดยอดได้คือ ท่านอนราบกับพื้น ใช้เท้าถีบในอากาศเหมือนปั่นจักรยาน หรือท่าเอนกายกึ่งนอนพิงบนลูกบอลออกกำลังกาย แล้วทำซิตอัพ
อย่างไรก็ดี งานวิจัยชิ้นนี้พบด้วยว่าผู้หญิงราว ๑ ใน ๕ ที่มีประสบการณ์เช่นนี้บอกว่า ตัวเองไม่สามารถควบคุมไม่ให้เกิดอาการนี้ได้และรู้สึกผิด
นักวิจัยบอกว่า ยังอธิบายไม่ได้ว่ากลไกอะไรโน้มนำให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอด หรือมีความพึงพอใจทางเพศขณะออกกำลังกาย และยังไม่รู้ว่าการออกกำลังกายด้วยท่าต่างๆ เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ทางเพศของผู้หญิงได้หรือไม่
การศึกษานี้พิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Sexual and Relationship Therapy ไม่ได้วิจัยในภาพรวมว่า มีผู้หญิงมากน้อยแค่ไหนที่จะเกิดอาการถึงจุดสุดยอดดังกล่าว แต่เข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นน้อย เพราะนักวิจัยใช้เวลาแค่ ๕ สัปดาห์ก็สามารถหาผู้หญิงที่มีประสบการณ์เช่นนี้มาร่วมโครงการได้ถึง ๓๗๐ คน.
แก้ไขล่าสุด (วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2012 เวลา 11:45 น.)
ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 55 เป็นต้นมา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้ปรับลดลงมาจาก 30% เหลือเพียง 23% และจะลดเหลือ 20% ในวันที่ 1 ม.ค. 56 เป็นต้นไป ตามนโยบายประชานิยมของรัฐบาล เพื่อทดแทนให้ภาคเอกชน กับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 215 บาท เป็น 300 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 55 นี้ ตามนโยบายประชานิยมอีกข้อหนึ่งของรัฐบาลด้วยเช่นกัน
ยังไม่รู้ว่า ภาคเอกชนจะดีใจหรือเสียใจกับการยื่นหมูยื่นแมวในครั้งนี้ แต่ที่แน่ ๆ ประชาชนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น กลับเกิดความ "ลักลั่น" ขึ้นมากกว่าเดิม เมื่ออดีตมีรายได้ทั้งปีตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป จะต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ 10% มีเงินได้ 500,000 บาทขึ้นไป เสียภาษี 20% มีเงินได้ 1 ล้านบาทขึ้นไปเสียภาษี 30% และมีเงินได้มากกว่า 4 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีอัตราสูงสุด 37% แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังเสียภาษีในอัตราต่ำสุด
ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นกำหนดไว้สูงสุด 30% เมื่อปรับลดลงมาเหลือ 20% จะทำให้ช่วง 3 ปีดังกล่าวนี้ รัฐต้องสูญเสียรายได้รวมถึง 150,000 ล้านบาท แต่กลับยังไม่พิจารณาปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่อย่างใด
กลับกลายเป็นว่า บุคคลธรรมดาต้องจ่ายภาษีแพงกว่า ส่งผลให้ "บุคคลธรรมดา" พยายามหาช่องทางเลี่ยงภาษีด้วยการ จัดตั้งเป็น "คณะบุคคล" เพื่อให้เสียภาษีในอัตราที่ถูกลง จนเกิดปัญหาคณะบุคคลผุดเป็นดอกเห็ด ในหมู่วิชาชีพที่มีรายได้สูง เช่น แพทย์ ดารา รับเหมาก่อสร้าง เป็นปัญหาลูกโซ่ให้กรมสรรพากรตามตรวจสอบเส้นทางการเงินให้วุ่นวายอยู่หลายปี จนล่าสุด "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง สั่งกรมสรรพากร "ปิดตาย" คณะบุคคลทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ต้องยอมรับว่า กรมสรรพากรได้เดินหน้าปรับโครงสร้างภาษีสรรพากรทั้งระบบมาโดยตลอด หลังจากที่ไม่เคยปรับโครงสร้างภาษีมาเลยกว่า 20 ปีแล้ว ทั้งเรื่องของอัตราภาษี สิทธิการลดหย่อนทางภาษี การยกเว้นอัตราภาษี ระบบภาษีระหว่างประเทศ และระบบบัญชีทางภาษี ซึ่งต้องยอมรับว่า เรื่องภาษีเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ดังนั้นการจะปรับตรงไหน ต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงต้องค่อย ๆ ทำทีละเรื่องไป และมาในยุคที่รัฐบาลคลั่งออกแต่นโยบายประชานิยมนี้ คงต้องมาลุ้นกันว่า การปรับโครงสร้างภาษีสรรพากรจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน ใครได้ ใครเสียผลประโยชน์บ้าง
"สาธิต รังคสิริ" อธิบดีกรมสรรพากร ยอมรับว่า กรมฯ ได้ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อนำเสนอให้ "ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย" รมช.คลัง พิจารณาว่าจะดำเนินการตามแนวทางที่เสนอหรือไม่ อย่างไร และจะนำเสนอให้พิจารณา ทีละเรื่อง เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการอนุมัติ เพราะหากเสนอแก้ไขกฎหมายยกฉบับแล้วเกิดติดขัดมาตราใดมาตราหนึ่งขึ้นมา จะทำให้กฎหมายทั้งฉบับนั้นต้องตกไป ยิ่งจะทำให้เกิดความล่าช้ามากขึ้นไปอีก
เรื่องแรกสุดที่น่าจะได้เห็นเดือน เม.ย.นี้ ในส่วนของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือ เสนอให้ "แยกยื่น" ภาษีสำหรับสามีและภรรยา ซึ่งมีเพียง 20% ของผู้เสียภาษี เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ในการยื่นชำระภาษี จากเดิมกำหนดว่าเงินได้ของภรรยา ต้องนับรวมเป็นรายได้ของสามี และแยกยื่นได้เฉพาะที่เป็นเงินเดือนเท่านั้น ส่วนรายได้อื่นต้องนำมาคำนวณรวมกับสามี ทำให้สามีต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นตามฐานรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลายคนไม่จดทะเบียน หรือจดทะเบียนหย่าแต่ยังใช้ชีวิตร่วมกัน
ด้วยเหตุผลว่า ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป ทั้งสามีและภรรยาต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทั้งคู่ต่างมีเงินได้เป็นของตนเอง วิธีคิดในเรื่องนี้ควรต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งการแยกยื่นฯนี้ จะทำให้รายได้หายไปปีละ 3,000 ล้านบาท แต่อนาคตเชื่อว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์มากกว่า
ต่อมาคือ การยกเลิก "คณะบุคคล" ตามที่ รมว.คลังสั่งการลงมา ซึ่งกรมฯ จะให้ผู้ที่ร่วมเป็นคณะบุคคลต่าง ๆ นำรายได้จากการดำเนินการต่าง ๆ ตามที่จัดตั้งคณะบุคคลมาคำนวณรวมกับรายได้ปกติ เพื่อยื่นชำระภาษีด้วย จากเดิมที่รายได้ของสมาชิกผู้ร่วมจดทะเบียนจัดตั้งคณะบุคคล ให้แยกยื่นเสียภาษีกับรายได้ปกติ เชื่อว่าจะมีผลทำให้กรมฯ มีรายได้เพิ่มมากขึ้นแน่นอน
แต่การปรับลดเพดานอัตราการจัดเก็บภาษีเงินได้ จากเดิมที่ 10-37% นั้น ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะใช้อัตราใหม่อย่างไรบ้าง แต่มีแนวคิดว่าจะปรับอัตราให้ถี่มากขึ้น โดยเริ่มที่ 5%, 10% 15% ไปจนถึง 40% ตามแนวคิดของขุนคลัง ที่ยึดนโยบายการบริหารเศรษฐกิจว่า จะต้องกระจายรายได้ หรือความมั่งคั่งออกไปให้มากที่สุด
ทั้งนี้ "กิตติรัตน์" ได้ให้นโยบายกรมสรรพากรไปว่า การปรับโครงสร้างภาษีสรรพากรนั้น ให้ยึดหลักการกระจายรายได้ ซึ่งในส่วนของภาษีบุคคลธรรมดานั้น ให้ยึดหลักว่าผู้มีรายได้สูง ต้องจ่ายภาษีสูงตามไปด้วย ส่วนผู้มีรายได้น้อย ก็จ่ายภาษีน้อย แต่ทั้งนี้ไม่ได้เร่งรัดให้กรมสรรพากรต้องเร่งดำเนินการแต่อย่างใด เพราะการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อีกทั้งได้ทำมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด บางเรื่องรอมาตั้งนานแล้ว ทำไมจะรอต่อไปอีกหน่อยไม่ได้ และไม่รับปากว่าจะได้เห็นเรื่องนี้ภายในปีนี้หรือไม่
ขณะเดียวกันมั่นใจว่า การที่รัฐลดภาษีนิติบุคลให้นั้น ไม่ ได้ทำให้เกิดความลักลั่นกับการจัดเก็บภาษีบุคคลธรรมดา เพราะการลดภาษีนิติบุคคล เพื่อให้แข่ง ขันกับภาษีนิติบุคคลของประเทศคู่แข่งและประเทศคู่ค้าได้ ส่วนอัตราภาษีจะเป็นเท่าใดนั้น ยังระบุไม่ได้ แต่ต้องตอบโจทย์ให้ได้ก่อน ไม่ใช่ปะตรงโน้นที ปะตรงนี้ที
แต่สำหรับนโยบายของ "ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย" รมช.คลังนั้น ดูจะออกแนวประชานิยม ทำเพื่อหวัง "คะแนนเสียง" จากชนชั้นกลางเป็นหลักมากกว่า เพราะได้ให้กรมสรรพากรพิจารณา เพิ่มวงเงินในการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา ที่ปัจจุบันให้ลดหย่อนอยู่คนละ 60,000 บาท ให้มากขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และยังขอให้ช่วยพิจารณาเพิ่มเติมถึงแนวทางขยับเงินได้สุทธิที่ไม่ต้องเสียภาษีจากขณะนี้กำหนดไว้ที่ 150,000 บาทต่อปี เป็น 200,000 บาทต่อปี
รวมถึงให้คงรายการหักลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ไว้เหมือนเดิม ที่ 19 รายการ จากที่กรมสรรพากรได้เสนอให้ยกเลิกการลดหย่อนภาษีบางรายการออกไป เพราะเห็นว่าบางรายการนั้น มีแต่คนรวยที่ได้รับประโยชน์ ขณะที่คนจน คนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือนทั่วไปไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ โดยจะให้กำหนดวงเงินหักลดหย่อนภาษีรวมทุกรายการไว้ไม่เกินปีละ 700,000 บาท พร้อมทั้งคาดหวังว่าจะได้ใช้โครงสร้างภาษีใหม่นี้ในปีภาษี 55 ด้วยแต่ที่ทั้ง รมว.และ รมช.คลัง มีความเห็นตรงกันอยู่เรื่องเดียวคือ การไม่แตะต้องภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ที่ 7% โดยให้คงไว้ระดับเดิมต่อไป
ขณะที่ภาษีสรรพสามิตนั้น หลังจากต้องยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล และภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินออกไปชนิดเดือนต่อเดือน รวมทั้งภาษีรถยนต์ที่ยังไม่สามารถใช้โครงสร้างใหม่ได้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการรถยนต์ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากมหาอุทกภัยถล่มเมื่อปลายปีก่อน รัฐก็หันไปเก็บภาษีสินค้าบาปต่าง ๆ แทนไปก่อน ทั้งสุรา ยาสูบ เบียร์ แต่จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงเชื่อว่าจะไม่มีกระแสคัดค้านแต่อย่างใด
เช่นการเก็บภาษีไวน์ ที่เปลี่ยนวิธีเก็บภาษีตามปริมาณ เริ่มต้นที่ลิตรละ 200-300 บาท อาทิ ไวน์นำเข้า 1 ลิตร ไม่ว่าจะราคาขวดละ 500 บาท หรือ 10,000 บาท จะเก็บภาษีเพิ่มอัตราเท่ากันอีกขวดละ 300 บาท นอกจากจะได้ดื่มไวน์ราคาถูกลงแล้ว ยังลดการลักลอบนำเข้าด้วย คาดว่าจะทำให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้เพิ่มจากเดิมปีละ 1,000 ล้านบาทเป็น 5,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน กำลังพิจารณาจะเก็บ ภาษีเฉพาะค่าบริการโทรศัพท์มือถือ คาดว่าไม่น่าจะเกิน 3% จากเดิม 10% รวมถึงจะขยายการเก็บไปในช่องทางบริการอื่น ๆ ผ่านมือถือที่มีปริมาณผู้ใช้จำนวนมากด้วย เช่น บริการดาด้าเซอร์วิส, โซเชียลมีเดีย, เอสเอ็มเอส เป็นต้น คาดว่าจะเก็บภาษีได้ไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นล้านบาทแน่นอน รวมถึงกำลังพิจารณาหันมาเก็บ ภาษีเครื่องปรับอากาศ 10-15% จากเดิมที่เคยยกเลิกไปเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ปรากฏว่าไม่ได้ทำให้ราคาเครื่องปรับอากาศถูกลงแต่อย่างใด
ทั้งนี้นโยบายการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์นั้น "อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม" ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า ยึด 3 หลักการคือ ต้องไม่ทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลง ไม่เป็นภาระกับผู้ประกอบการมากขึ้น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยต้องสอดคล้องกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 58 ที่ไทยจะขึ้นเป็น 1 ใน 10 ของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะปรับลดภาษีลงหลายรายการเพื่อเอาใจประชานิยม จนมีผลทำให้ปีนี้กรมสรรพากรต้องเสียรายได้ไปกว่า 200,000 ล้านบาท ทั้งจากมาตรการช่วยเหลือทางภาษีเพื่อช่วยเหลือน้ำท่วมต่าง ๆ เช่น ค่าลดหย่อนซ่อมบ้านและซ่อมรถรวมถึงมาตรการบ้านหลังแรก 70,000 ล้านบาท การลดภาษีนิติบุคคลอีก 45,000 ล้านบาท แต่ยังมั่นใจว่าปีงบประมาณ 55 นี้ น่าจะยังเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 1.62 ล้านล้านบาท ได้อยู่ เพราะช่วง 6 เดือนของปีงบประมาณ 55 ที่ผ่านมานี้ จัดเก็บรายได้เกินเป้าอยู่ 10% หรือ 14,500 ล้านบาท โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้นมาก
อีกทั้งกรมฯ ได้ลดการรั่วไหล เข้มงวดการเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะการตรวจสอบย้อนหลังธุรกิจนอกระบบ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซย้อนหลัง 5-10 ปี ดึงให้เข้ามาอยู่ในฐานการเสียภาษีให้มากขึ้น
แต่การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตนั้น ต้องยอมปรับลดเป้าหมายลงไปบ้าง จากที่ตั้งไว้ 405,000 ล้านบาท เพราะลำพังแค่การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ก็ทำให้รายได้หายไปถึงเดือนละ 9,000 ล้านบาท แต่หากสามารถเก็บภาษีบาปรายการอื่นมาทดแทนได้ ก็ยังมีสิทธิที่จะเก็บภาษีเข้าเป้าหมายได้อยู่
'ภาษี" คือเงินจากทุกคนในประเทศ เป็นหัวใจสำคัญ ที่จะนำมาใช้จ่าย ลงทุนโครงการต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูเยียวยาประชาชน และประเทศชาติ ให้ก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ แต่หากรัฐบาลทำเพียงหวังแค่คะแนนเสียงจากรากหญ้า อาจเป็นเพียงการเผาแบงก์พันเพื่อหาเหรียญบาทเท่านั้นเอง.
| (ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 9 เมษายน 2555) http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333961777&grpid=03&catid=02&subcatid=0207 |