วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

ทวงบัลลังก์ข่าว

 

ทวงบัลลังก์ข่าว

งาน 60 ปี ไทยโทรทัศน์ และ 35 ปี อสมท ครบรอบไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา โดยมีนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปร่วมพิธีอย่างอลังการ มีเรื่องน่าสนใจและการเปลี่ยนแปลงในวงการโทรทัศน์บ้านเราอย่างมาก!!

การเปลี่ยนแปลงภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ ภายใต้การคุมบังเหียนของ "จักรพันธุ์ ยมจินดา" รักษาการ ผอ.อสมท

กว่าจะมาเป็น อสมท ในปัจจุบัน ไทยโทรทัศน์ก็คือต้นกำเนิดสถานีโทรทัศน์แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไทยโทรทัศน์จดทะเบียนตั้งเป็นบริษัทเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2495 หรือเมื่อ 60 ปีที่แล้ว

ต่อมาได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท) เมื่อ พ.ศ.2520 ไทยโทรทัศน์จึงกลายมาเป็น อสมท และเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2547 ก็ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้แนวคิด "สังคมอุดมปัญญา"

60 ปี ไทยโทรทัศน์ และ 35 ปี อสมท กำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้าน "ข่าว" ในทุกมิติของสำนักข่าวไทยและช่อง 9 โมเดิร์นไนน์

การเปิดตัวปฏิบัติการข่าว "MCOT Bird's  Eye  News" โดยทีมข่าวระดับมือ อาชีพของสำนักข่าวไทย คือมิติใหม่ที่ยืนยันว่า อสมท พร้อมสู้ทุกรูปแบบ!!

รายงานข่าวทางอากาศด้วยมุมมองอันกว้างไกล ก้าวลึก ทันสมัย น่าจะเป็นการต่อสู้ที่เข้มข้น โดยทุกรายละเอียดจะส่งผ่านมายังภาคพื้นดิน (ห้องส่ง) เชื่อมต่อกับวีดิโอวอลความยาว 20 เมตร

ด้วยจอภาพใหญ่สุดในประเทศไทย และเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของโลก!!

มันคือกระบวนการผลิตและการปฏิบัติ การด้านข่าวอันทันสมัย สู่ปรากฏการณ์ตื่นตา ตื่นใจ!!

บอกเป็นนัยว่า อสมท กำลังจะตอกย้ำ ถึงความเป็นผู้นำองค์กรธุรกิจสื่อสารมวลชนชนิดครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนตลอดกาล

ผมมักพูดเสมอว่า...ข่าวคือความน่าเชื่อถือที่คนข่าว อสมท ผ่านถ่ายรุ่นสู่รุ่นมายาวนาน แต่ถูกฉีกหนีเพราะถูกวังวน "แดนสนธยา" ครอบงำในห้วง 5-6 ปีที่ผ่านมา???

"จักรพันธุ์ ยมจินดา" กำลังปลุกจิตวิญญาณคนข่าว อสมท ให้แสดงศักยภาพความสามารถ เพื่อกลับมาทวงบัลลังก์ข่าว

ข่าวที่แม่นยำน่าเชื่อถือ...ข่าวที่น่าศรัทธาเพื่อประชาชน!!

"แจ๋วริมจอ"

โดย: แจ๋วริมจอ

30 เมษายน 2555, 05:00 น.

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

“เก้าอี้กัปตัน”ช่วยผู้หญิงถึง“จุดสุดยอด”

 

"เก้าอี้กัปตัน"ช่วยผู้หญิงถึง"จุดสุดยอด"

 

๑๘ เมษายน ๒๕๕๕, นักวิจัยเรื่องความพึงพอใจทางเพศพบว่า การออกกำลังกายในบางท่วงท่าสามารถทำให้ผู้หญิงบรรลุถึงจุดสุดยอดได้ ซึ่งผู้หญิงบางคนถึงจุดสุดยอดขณะยกน้ำหนัก บางคนขณะปั่นจักรยาน แต่ท่าที่ได้ผลที่สุดคือ การออกกำลังกายหน้าท้องโดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า "เก้าอี้กัปตัน"

ผู้เล่นจะอยู่ในท่ายืน วางแขนลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ ซึ่งได้จัดปรับมุมเอียงอย่างเหมาะสมกับร่างกาย จากนั้นผู้เล่นก็เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพื่อยกเข่าขึ้นไปหาหน้าอก แล้วค่อยๆ ลดเท้าลงยืนกับพื้นตามเดิม

นักวิจัยพบว่า การออกกำลังกายหลายชนิดช่วยให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดได้โดยไม่ได้คิดเรื่องเซ็กซ์อยู่ในหัวในเวลานั้นเลย เช่น การออกกำลังกายหน้าท้อง (ร้อยละ ๕๑.๔), ยกน้ำหนัก (ร้อยละ ๒๖.๕), โยคะ (ร้อยละ ๒๐), ถีบจักรยาน (ร้อยละ ๑๕.๘), วิ่ง (ร้อยละ ๑๓.๒) และ เดิน/เดินป่า (ร้อยละ ๙.๖)

เด็บบีย์ เฮิร์บนิค หัวหน้าทีมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยอินดีแอนาบอกว่า งานวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจผู้หญิงหลายร้อยคนอายุตั้งแต่ ๑๘-๖๓ ปี ซึ่งเผยว่าพวกเธอได้ถึงจุดสุดยอดเพราะการออกกำลังกาย หรือเกิดความรู้สึกพึงพอใจทางเพศ

เกือบครึ่งของผู้หญิงที่สำรวจได้เกิดอาการเหล่านี้กว่า ๑๐ ครั้งขึ้นไป โดยการออกกำลังกายหน้าท้องเป็นท่าที่ทำให้ถึงจุดสุดยอดได้มากกว่าท่าอื่นๆ

ท่าออกกำลังกายหน้าท้องอีกท่าหนึ่งซึ่งทำให้บรรลุจุดสุดยอดได้คือ ท่านอนราบกับพื้น ใช้เท้าถีบในอากาศเหมือนปั่นจักรยาน หรือท่าเอนกายกึ่งนอนพิงบนลูกบอลออกกำลังกาย แล้วทำซิตอัพ

อย่างไรก็ดี งานวิจัยชิ้นนี้พบด้วยว่าผู้หญิงราว ๑ ใน ๕ ที่มีประสบการณ์เช่นนี้บอกว่า ตัวเองไม่สามารถควบคุมไม่ให้เกิดอาการนี้ได้และรู้สึกผิด

นักวิจัยบอกว่า ยังอธิบายไม่ได้ว่ากลไกอะไรโน้มนำให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอด หรือมีความพึงพอใจทางเพศขณะออกกำลังกาย และยังไม่รู้ว่าการออกกำลังกายด้วยท่าต่างๆ เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ทางเพศของผู้หญิงได้หรือไม่

การศึกษานี้พิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Sexual and Relationship Therapy ไม่ได้วิจัยในภาพรวมว่า มีผู้หญิงมากน้อยแค่ไหนที่จะเกิดอาการถึงจุดสุดยอดดังกล่าว แต่เข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นน้อย เพราะนักวิจัยใช้เวลาแค่ ๕ สัปดาห์ก็สามารถหาผู้หญิงที่มีประสบการณ์เช่นนี้มาร่วมโครงการได้ถึง ๓๗๐ คน.

แก้ไขล่าสุด (วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2012 เวลา 11:45 น.)

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

ลดภาษีเงินได้เอาใจคะแนนเสียง คลังหืดจับเล็งรีดธุรกิจนอกระบบ

ลดภาษีเงินได้เอาใจคะแนนเสียง คลังหืดจับเล็งรีดธุรกิจนอกระบบ

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2555 เวลา 00:00 น.

ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 55 เป็นต้นมา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้ปรับลดลงมาจาก 30% เหลือเพียง 23% และจะลดเหลือ 20% ในวันที่ 1 ม.ค. 56 เป็นต้นไป ตามนโยบายประชานิยมของรัฐบาล เพื่อทดแทนให้ภาคเอกชน กับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 215 บาท เป็น 300 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 55 นี้ ตามนโยบายประชานิยมอีกข้อหนึ่งของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

ยังไม่รู้ว่า ภาคเอกชนจะดีใจหรือเสียใจกับการยื่นหมูยื่นแมวในครั้งนี้ แต่ที่แน่ ๆ ประชาชนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น กลับเกิดความ "ลักลั่น" ขึ้นมากกว่าเดิม เมื่ออดีตมีรายได้ทั้งปีตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป จะต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ 10% มีเงินได้ 500,000 บาทขึ้นไป เสียภาษี  20% มีเงินได้ 1 ล้านบาทขึ้นไปเสียภาษี 30% และมีเงินได้มากกว่า 4 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีอัตราสูงสุด  37% แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังเสียภาษีในอัตราต่ำสุด
ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นกำหนดไว้สูงสุด  30% เมื่อปรับลดลงมาเหลือ  20% จะทำให้ช่วง 3 ปีดังกล่าวนี้ รัฐต้องสูญเสียรายได้รวมถึง 150,000 ล้านบาท แต่กลับยังไม่พิจารณาปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่อย่างใด

กลับกลายเป็นว่า บุคคลธรรมดาต้องจ่ายภาษีแพงกว่า ส่งผลให้ "บุคคลธรรมดา" พยายามหาช่องทางเลี่ยงภาษีด้วยการ จัดตั้งเป็น "คณะบุคคล" เพื่อให้เสียภาษีในอัตราที่ถูกลง จนเกิดปัญหาคณะบุคคลผุดเป็นดอกเห็ด ในหมู่วิชาชีพที่มีรายได้สูง เช่น แพทย์ ดารา รับเหมาก่อสร้าง เป็นปัญหาลูกโซ่ให้กรมสรรพากรตามตรวจสอบเส้นทางการเงินให้วุ่นวายอยู่หลายปี จนล่าสุด "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง สั่งกรมสรรพากร "ปิดตาย" คณะบุคคลทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ต้องยอมรับว่า กรมสรรพากรได้เดินหน้าปรับโครงสร้างภาษีสรรพากรทั้งระบบมาโดยตลอด หลังจากที่ไม่เคยปรับโครงสร้างภาษีมาเลยกว่า 20 ปีแล้ว ทั้งเรื่องของอัตราภาษี สิทธิการลดหย่อนทางภาษี การยกเว้นอัตราภาษี ระบบภาษีระหว่างประเทศ และระบบบัญชีทางภาษี ซึ่งต้องยอมรับว่า เรื่องภาษีเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ดังนั้นการจะปรับตรงไหน ต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงต้องค่อย ๆ ทำทีละเรื่องไป และมาในยุคที่รัฐบาลคลั่งออกแต่นโยบายประชานิยมนี้ คงต้องมาลุ้นกันว่า การปรับโครงสร้างภาษีสรรพากรจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน ใครได้ ใครเสียผลประโยชน์บ้าง
"สาธิต รังคสิริ" อธิบดีกรมสรรพากร ยอมรับว่า กรมฯ ได้ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อนำเสนอให้ "ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย" รมช.คลัง พิจารณาว่าจะดำเนินการตามแนวทางที่เสนอหรือไม่ อย่างไร และจะนำเสนอให้พิจารณา  ทีละเรื่อง เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการอนุมัติ เพราะหากเสนอแก้ไขกฎหมายยกฉบับแล้วเกิดติดขัดมาตราใดมาตราหนึ่งขึ้นมา จะทำให้กฎหมายทั้งฉบับนั้นต้องตกไป ยิ่งจะทำให้เกิดความล่าช้ามากขึ้นไปอีก

เรื่องแรกสุดที่น่าจะได้เห็นเดือน เม.ย.นี้ ในส่วนของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือ เสนอให้ "แยกยื่น" ภาษีสำหรับสามีและภรรยา ซึ่งมีเพียง 20% ของผู้เสียภาษี เพื่อให้เกิดความคล่องตัว  ในการยื่นชำระภาษี จากเดิมกำหนดว่าเงินได้ของภรรยา ต้องนับรวมเป็นรายได้ของสามี และแยกยื่นได้เฉพาะที่เป็นเงินเดือนเท่านั้น ส่วนรายได้อื่นต้องนำมาคำนวณรวมกับสามี ทำให้สามีต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นตามฐานรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลายคนไม่จดทะเบียน หรือจดทะเบียนหย่าแต่ยังใช้ชีวิตร่วมกัน

ด้วยเหตุผลว่า ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป ทั้งสามีและภรรยาต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทั้งคู่ต่างมีเงินได้เป็นของตนเอง วิธีคิดในเรื่องนี้ควรต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งการแยกยื่นฯนี้ จะทำให้รายได้หายไปปีละ 3,000 ล้านบาท แต่อนาคตเชื่อว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์มากกว่า

ต่อมาคือ การยกเลิก "คณะบุคคล" ตามที่ รมว.คลังสั่งการลงมา ซึ่งกรมฯ จะให้ผู้ที่ร่วมเป็นคณะบุคคลต่าง ๆ นำรายได้จากการดำเนินการต่าง ๆ ตามที่จัดตั้งคณะบุคคลมาคำนวณรวมกับรายได้ปกติ เพื่อยื่นชำระภาษีด้วย จากเดิมที่รายได้ของสมาชิกผู้ร่วมจดทะเบียนจัดตั้งคณะบุคคล ให้แยกยื่นเสียภาษีกับรายได้ปกติ เชื่อว่าจะมีผลทำให้กรมฯ มีรายได้เพิ่มมากขึ้นแน่นอน

แต่การปรับลดเพดานอัตราการจัดเก็บภาษีเงินได้ จากเดิมที่ 10-37% นั้น ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะใช้อัตราใหม่อย่างไรบ้าง แต่มีแนวคิดว่าจะปรับอัตราให้ถี่มากขึ้น โดยเริ่มที่ 5%, 10% 15% ไปจนถึง 40% ตามแนวคิดของขุนคลัง ที่ยึดนโยบายการบริหารเศรษฐกิจว่า จะต้องกระจายรายได้ หรือความมั่งคั่งออกไปให้มากที่สุด

ทั้งนี้ "กิตติรัตน์" ได้ให้นโยบายกรมสรรพากรไปว่า การปรับโครงสร้างภาษีสรรพากรนั้น ให้ยึดหลักการกระจายรายได้ ซึ่งในส่วนของภาษีบุคคลธรรมดานั้น ให้ยึดหลักว่าผู้มีรายได้สูง ต้องจ่ายภาษีสูงตามไปด้วย ส่วนผู้มีรายได้น้อย ก็จ่ายภาษีน้อย แต่ทั้งนี้ไม่ได้เร่งรัดให้กรมสรรพากรต้องเร่งดำเนินการแต่อย่างใด เพราะการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อีกทั้งได้ทำมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด บางเรื่องรอมาตั้งนานแล้ว ทำไมจะรอต่อไปอีกหน่อยไม่ได้ และไม่รับปากว่าจะได้เห็นเรื่องนี้ภายในปีนี้หรือไม่

ขณะเดียวกันมั่นใจว่า การที่รัฐลดภาษีนิติบุคลให้นั้น ไม่  ได้ทำให้เกิดความลักลั่นกับการจัดเก็บภาษีบุคคลธรรมดา เพราะการลดภาษีนิติบุคคล เพื่อให้แข่ง ขันกับภาษีนิติบุคคลของประเทศคู่แข่งและประเทศคู่ค้าได้ ส่วนอัตราภาษีจะเป็นเท่าใดนั้น ยังระบุไม่ได้ แต่ต้องตอบโจทย์ให้ได้ก่อน ไม่ใช่ปะตรงโน้นที ปะตรงนี้ที

แต่สำหรับนโยบายของ "ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย" รมช.คลังนั้น ดูจะออกแนวประชานิยม ทำเพื่อหวัง "คะแนนเสียง" จากชนชั้นกลางเป็นหลักมากกว่า เพราะได้ให้กรมสรรพากรพิจารณา เพิ่มวงเงินในการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา ที่ปัจจุบันให้ลดหย่อนอยู่คนละ  60,000 บาท ให้มากขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และยังขอให้ช่วยพิจารณาเพิ่มเติมถึงแนวทางขยับเงินได้สุทธิที่ไม่ต้องเสียภาษีจากขณะนี้กำหนดไว้ที่ 150,000 บาทต่อปี เป็น 200,000 บาทต่อปี

รวมถึงให้คงรายการหักลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ไว้เหมือนเดิม ที่ 19 รายการ จากที่กรมสรรพากรได้เสนอให้ยกเลิกการลดหย่อนภาษีบางรายการออกไป เพราะเห็นว่าบางรายการนั้น มีแต่คนรวยที่ได้รับประโยชน์ ขณะที่คนจน คนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือนทั่วไปไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ โดยจะให้กำหนดวงเงินหักลดหย่อนภาษีรวมทุกรายการไว้ไม่เกินปีละ 700,000 บาท พร้อมทั้งคาดหวังว่าจะได้ใช้โครงสร้างภาษีใหม่นี้ในปีภาษี  55 ด้วยแต่ที่ทั้ง รมว.และ รมช.คลัง มีความเห็นตรงกันอยู่เรื่องเดียวคือ การไม่แตะต้องภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ที่ 7% โดยให้คงไว้ระดับเดิมต่อไป

ขณะที่ภาษีสรรพสามิตนั้น หลังจากต้องยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล และภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินออกไปชนิดเดือนต่อเดือน รวมทั้งภาษีรถยนต์ที่ยังไม่สามารถใช้โครงสร้างใหม่ได้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการรถยนต์ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากมหาอุทกภัยถล่มเมื่อปลายปีก่อน รัฐก็หันไปเก็บภาษีสินค้าบาปต่าง ๆ แทนไปก่อน ทั้งสุรา ยาสูบ เบียร์ แต่จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงเชื่อว่าจะไม่มีกระแสคัดค้านแต่อย่างใด

เช่นการเก็บภาษีไวน์ ที่เปลี่ยนวิธีเก็บภาษีตามปริมาณ เริ่มต้นที่ลิตรละ 200-300 บาท อาทิ ไวน์นำเข้า 1 ลิตร ไม่ว่าจะราคาขวดละ 500 บาท หรือ 10,000 บาท จะเก็บภาษีเพิ่มอัตราเท่ากันอีกขวดละ 300 บาท นอกจากจะได้ดื่มไวน์ราคาถูกลงแล้ว ยังลดการลักลอบนำเข้าด้วย คาดว่าจะทำให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้เพิ่มจากเดิมปีละ 1,000 ล้านบาทเป็น 5,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน กำลังพิจารณาจะเก็บ ภาษีเฉพาะค่าบริการโทรศัพท์มือถือ คาดว่าไม่น่าจะเกิน 3% จากเดิม 10% รวมถึงจะขยายการเก็บไปในช่องทางบริการอื่น ๆ ผ่านมือถือที่มีปริมาณผู้ใช้จำนวนมากด้วย เช่น บริการดาด้าเซอร์วิส, โซเชียลมีเดีย, เอสเอ็มเอส เป็นต้น คาดว่าจะเก็บภาษีได้ไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นล้านบาทแน่นอน รวมถึงกำลังพิจารณาหันมาเก็บ ภาษีเครื่องปรับอากาศ 10-15% จากเดิมที่เคยยกเลิกไปเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ปรากฏว่าไม่ได้ทำให้ราคาเครื่องปรับอากาศถูกลงแต่อย่างใด
ทั้งนี้นโยบายการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์นั้น "อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม" ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า ยึด 3 หลักการคือ ต้องไม่ทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลง ไม่เป็นภาระกับผู้ประกอบการมากขึ้น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยต้องสอดคล้องกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 58 ที่ไทยจะขึ้นเป็น 1 ใน 10 ของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะปรับลดภาษีลงหลายรายการเพื่อเอาใจประชานิยม จนมีผลทำให้ปีนี้กรมสรรพากรต้องเสียรายได้ไปกว่า 200,000 ล้านบาท ทั้งจากมาตรการช่วยเหลือทางภาษีเพื่อช่วยเหลือน้ำท่วมต่าง ๆ เช่น ค่าลดหย่อนซ่อมบ้านและซ่อมรถรวมถึงมาตรการบ้านหลังแรก  70,000 ล้านบาท การลดภาษีนิติบุคคลอีก 45,000 ล้านบาท แต่ยังมั่นใจว่าปีงบประมาณ 55 นี้ น่าจะยังเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 1.62 ล้านล้านบาท ได้อยู่ เพราะช่วง 6 เดือนของปีงบประมาณ 55 ที่ผ่านมานี้ จัดเก็บรายได้เกินเป้าอยู่ 10% หรือ 14,500 ล้านบาท โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้นมาก

อีกทั้งกรมฯ ได้ลดการรั่วไหล เข้มงวดการเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะการตรวจสอบย้อนหลังธุรกิจนอกระบบ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซย้อนหลัง 5-10 ปี ดึงให้เข้ามาอยู่ในฐานการเสียภาษีให้มากขึ้น

แต่การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตนั้น ต้องยอมปรับลดเป้าหมายลงไปบ้าง จากที่ตั้งไว้  405,000 ล้านบาท เพราะลำพังแค่การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ก็ทำให้รายได้หายไปถึงเดือนละ 9,000 ล้านบาท แต่หากสามารถเก็บภาษีบาปรายการอื่นมาทดแทนได้ ก็ยังมีสิทธิที่จะเก็บภาษีเข้าเป้าหมายได้อยู่

'ภาษี" คือเงินจากทุกคนในประเทศ เป็นหัวใจสำคัญ ที่จะนำมาใช้จ่าย ลงทุนโครงการต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูเยียวยาประชาชน และประเทศชาติ ให้ก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ แต่หากรัฐบาลทำเพียงหวังแค่คะแนนเสียงจากรากหญ้า อาจเป็นเพียงการเผาแบงก์พันเพื่อหาเหรียญบาทเท่านั้นเอง.

http://www.dailynews.co.th/businesss/21263

 

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

ปราปต์ บุนปาน : ความยุติธรรมและการปรองดอง

 

ปราปต์ บุนปาน : ความยุติธรรมและการปรองดอง

วันที่ 09 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 21:00:00 น.

Share 




(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 9 เมษายน 2555)

ระหว่างนั่งชมการประชุมพิจารณารายงานของ กมธ.ปรองดอง โดยสภาผู้แทนราษฎร

มีโอกาสได้ยินคำว่า "ความยุติธรรมของผู้ชนะ" หลายครั้ง

ฟังแล้วก็เกิดคำถามขึ้นมา

ไม่ได้เป็นข้อคลางแคลงใจต่อสถาบันพระปกเกล้าหรือพรรคประชาธิปัตย์

แต่เป็นคำถามว่า ใครบ้างคือ "ผู้ชนะ" ที่จะได้รับความยุติธรรม หากรัฐบาลนำข้อสังเกตของ กมธ.ปรองดองไปปฏิบัติ?

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, พรรคเพื่อไทย, แกนนำ นปช. และชนชั้นนำอื่นๆ

หรือจะรวมถึงผู้ซึ่งลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล "คนเสื้อแดง" ที่บาดเจ็บ ล้มตาย ถูกจับกุมคุมขังในคดีการเมือง ตลอดจนประชาชนฝ่ายอื่นๆ

ถ้า "ผู้ชนะ" หมายถึงคนกลุ่มหลังด้วย

การปรองดองจะดำเนินไปถึงระดับไหน?

ข้อสังเกตสำคัญของ กมธ.ปรองดอง ที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร 

คือ การเสนอให้นิรโทษกรรมบุคคลทุกฝ่าย ทุกระดับ ที่มีคดีการเมืองติดตัว ภายหลังรัฐประหาร 19 กันยาฯ

"คนเสื้อแดง" หรือประชาชนที่เลือกพรรคเพื่อไทย

จะยอมรับได้ไหม? 

ถ้ากลุ่มบุคคลซึ่งเขามองว่าเป็น "ฆาตกร" จะได้รับการนิรโทษกรรมไปด้วย

เช่นเดียวกับที่ประชาชนอีกฝ่ายก็คงรับไม่ได้ หากอดีตนายกฯทักษิณ และกลุ่มคนที่เขามองว่าเป็น "พวกเผาบ้านเผาเมือง" จะได้รับการนิรโทษกรรม

เมื่อปัญหาติดขัดตรงจุดนั้น ความปรองดองหรือการนิรโทษกรรมใดๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น

สุดท้าย "คนธรรมดา" ของทุก "สีเสื้อ" ที่มีชะตากรรมเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์บ้านเมือง กระทั่งต้องถูกคุมขังในเรือนจำ หรือต้องเสียเวลาและกำลังทรัพย์ในการต่อสู้คดี

ก็ยังไม่พ้นมลทิน และเฝ้ารอคอยอิสรภาพกันต่อไป

แนวโน้มดังกล่าวนำมาสู่ข้อเสนอของนักวิชาการอย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่เสนอให้

หนึ่ง แยกกรณีทักษิณ รวมทั้งบุคคลระดับนำทุกฝ่าย เช่น รัฐบาลอภิสิทธิ์ กองทัพ แกนนำพันธมิตร และ นปช.ออกมา แล้วนิรโทษกรรมให้แก่คนธรรมดาของทุกฝ่าย

สอง ให้มีการ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร" ตามข้อเสนอของ "คณะนิติราษฎร์"รวมถึงการยกเลิกคดีต่างๆ ของ คตส.

ถ้าทำตามข้อเสนอของสมศักดิ์ หมายความว่า

หนึ่ง คนทำรัฐประหาร 19 กันยาฯ ยังต้องถูกดำเนินคดี

สอง ทักษิณจะหลุดคดีของ คตส. แต่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมใหม่

สาม คนระดับธรรมดาของทั้งฝ่ายเสื้อเหลือง เสื้อแดง และทหารชั้นผู้น้อย จะได้รับการนิรโทษกรรมทั้งหมด

สี่ คนระดับนำ อย่างอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ, นายทหารชั้นผู้ใหญ่, 

แกนนำพันธมิตร และแกนนำ นปช. ยังต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

ตามความเห็นของนักวิชาการผู้นี้ ผลลัพธ์อันเกิดจาก

ข้อเสนอของเขาจะครอบคลุมทุกประเด็นซึ่งเป็นวิกฤตในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา 

ตลอดจนเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างถูกหลักประชาธิปไตยและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ฟัง อ.สมศักดิ์แล้ว ก็เริ่มรู้สึกว่าคำอภิปรายของคุณอภิสิทธิ์ เมื่อค่ำวันที่ 5 เมษายน 

ซึ่งท้าว่าตนเองและคุณสุเทพ จะไม่รับการนิรโทษกรรม เพื่อแลกกับการไม่นิรโทษกรรมให้อดีตนายกฯทักษิณ ส่วนคนอื่นที่เหลือให้นิรโทษทั้งหมดนั้น

ดูเข้าทีอยู่ไม่น้อย


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333961777&grpid=03&catid=02&subcatid=0207

"กูเกิล ดูเดิล" รำลึก 182 ปี "เอ็ดวาร์ด เจ. เมย์บริดจ์" ผู้ให้กำเนิดภาพเคลื่อนไหว

"กูเกิล ดูเดิล" รำลึก 182 ปี "เอ็ดวาร์ด เจ. เมย์บริดจ์" ผู้ให้กำเนิดภาพเคลื่อนไหว

วันที่ 09 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 20:30:15 น.

Share 




หากเปิดหน้าแรกของเว็บกูเกิลในวันนี้ จะพบว่ามีหน้าตาแปลกไป ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของกูเกิล ที่จะเปลี่ยนไปตามการครบรอบโอกาสต่างๆ

 

 

 

โดยในวันนี้ ถึงคราวของ "เอ็ดวาร์ด เจ. เมย์บริดจ์"ช่างภาพชาวอังกฤษ ผู้เป็นคนแรกๆที่คิดค้นกล้องถ่ายรูป ที่ในวันนี้เป็นวันครบรอบวันคล้ายวันเกิด 182 ปีของเขา โดยใช้ภาพของหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของเขา นั่นก็คือ "The Horse in Motion"

 

 

 

 

"เอ็ดวาร์ด เจ. เมย์บริดจ์" (Eadweard J. Muybridge) เกิดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1830  และเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเมื่อเดือนพฤษภาคม 1904 เขาเป็นช่างภาพและนักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เขามีชื่อเสียงจากการศึกษาทดลองถ่ายภาพการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ในช่วงแรก เขาเน้นถ่ายภาพภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรมต่างๆ

 

โดยเฉพาะภาพที่ถ่ายขึ้นในปี 1872    ที่เขาต้องการพิสูจน์ว่า ขณะที่ม้าวิ่ง จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ขาทั้งสี่ของม้าจะลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกัน เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสื่อภาพถ่ายและวีดิโอ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในภาพวิดีโอยุคแรกๆของโลก

 

 

 

 

เอ็ดวาร์ดได้ทำการถ่ายภาพที่สนามแข่งม้าของมหาเศรษฐีเลแลนด์ สแตนฟอร์ด ที่เมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยใช้กล้อง 12 ตัวตั้งเรียงด้วยระยะห่างเท่ากันตามเส้นทางวิ่งของม้าเพื่อจับภาพขณะที่ม้ากำลังวิ่ง โดยใช้เทคนิคการลั่นชัตเตอร์ด้วย เส้นเชือกที่ขึงไว้ที่พื้น เมื่อกีบเท้าม้าสัมผัสเชือก ก็เป็นสัญญาณให้ทำการกล้องถ่ายรูปเป็นชุดๆ อย่างต่อเนื่องตามจุดที่กำหนด  เพื่อพิสูจน์ว่ามีจังหวะหนึ่งของการวิ่งที่ขาของม้าลอยจากพื้นหมดทั้งสี่ข้าง เมื่อนำภาพถ่ายจากกล้องแต่ละตัวมาวางเรียงกัน จะได้ภาพถ่ายต่อเนื่อง ครั้งแรกในโลก โดยครั้งแรกนั้นเขาสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 12 ภาพ และเป็นจุดเริ่มต้นของ ศาสตร์ภาพเคลื่อนไหว หรือ ภาพยนตร์ ในเวลาต่อมา

 

และต่อมาในปี 1877-1878 เขาได้ทำการทดลองซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้กล้องทั้งหมด 24 ตัว  จากนั้นจึงได้นำมาใช้ศึกษาท่าทางการเคลื่อนไหวของคนลักษณะต่างๆ เช่น คนอ้วน ผู้หญิง ผู้ชาย นักกีฬา

 

 

เครื่อง Phenakistoscope

 

 

 

 

ภาพของ Muybridge  ถูกนำมาใช้ในเครื่อง Phenakistoscope ซึ่งถือกันว่าเป็นเครื่องฉายภาพยนตร์เครื่องแรกที่สามารถฉายภาพเคลื่อนไหวลงบนฉากได้ ในปี 1879 Muybridge ได้ทำการประดิษฐ์เครื่อง Zoopraxiscope (zoogyroscope)

 

 

เครื่อง zoopraxiscope

 

 

zoopraxiscope ถือว่าเป็นอุปกรณ์ฉายภาพยนตร์เครื่องแรกของโลก ที่จะวาดรูปภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่องที่ละภาพลงบนจานแก้ว แล้วนำจานแก้วนั้นไปหมุนอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดเสมือนเป็นภาพเคลื่อนไหว



 

[สช.ร่อนข่าว] ฉบับที่ 26 คนนครปฐมไม่ไว้ใจฟลัดเวย์



จาก: National Health Commission <nationalhealth@nationalhealth.or.th>
วันที่: 9 เมษายน 2555, 16:11
หัวเรื่อง: [สช.ร่อนข่าว] ฉบับที่ 26 คนนครปฐมไม่ไว้ใจฟลัดเวย์
ถึง: 


ฉบับที่ 26 คนนครปฐมไม่ไว้ใจฟลัดเวย์

Printer-friendly   version
   
    สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.)
    ชั้น 3 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ติวานนท์ 14 หมู่4 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
    โทร. 02-832-9000 โทรสาร 02-832-9001

    www.nationalhealth.or.th | www.healthstation.in.th
 

Unsubscribe from this newsletter



วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

[สช.ร่อนข่าว] ฉบับที่ 23 คสช. เห็นชอบมติจัดการน้ำมันทอดซ้ำ




จาก: National Health Commission Office of Thailand <nationalhealth@nationalhealth.or.th>
วันที่: 2 เมษายน 2555, 7:46
หัวเรื่อง: [สช.ร่อนข่าว] ฉบับที่ 23 คสช. เห็นชอบมติจัดการน้ำมันทอดซ้ำ
ถึง: 

ฉบับที่ 23 คสช. เห็นชอบมติจัดการน้ำมันทอดซ้ำ

Printer-friendly   version
   
    สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.)
    ชั้น 3 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ติวานนท์ 14 หมู่4 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
    โทร. 02-832-9000 โทรสาร 02-832-9001

    www.nationalhealth.or.th | www.healthstation.in.th
 

Unsubscribe from this newsletter